5 แอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดที่มาพร้อมกับ VPN ภายในตัวในปี 2024

ระยะเวลาในการอ่าน: 6 นาที

โปรแกรมแอนตี้ไวรัสยอดเยี่ยมทุกโปรแกรมต่างมาพร้อมกับ VPN แต่ไม่ใช่ทุก VPN จะควรค่าแก่การใช้งาน โปรแกรมมากมายจำกัดข้อมูลที่อนุญาตให้ใช้งานได้ ในขณะที่โปรแกรมอื่น ๆ จะเก็บบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ บางโปรแกรมยังมีราคาแพงมากนคุณควรซื้อบริการแยกต่างหากอย่าง

เพื่อช่วยคุณค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดและปลอดภัยมากที่สุด ฉันจึงได้ทดสอบแอนตี้ไวรัสที่มี VPN มากกว่า 15 โปรแกรมและจัดอันดับให้แคบลงเหลือเพียง 5 บริการที่ดีที่สุด นอกจาความปลอดภัยและการป้องกันมัลแวร์แล้ว ฉันจึงมุ่งเน้นด้านความเป็นส่วนตัว ความเร็ว การปลดบล็อกทางภูมิศาสตร์และความง่ายในการใช้งาน

หากคุณกำลังมองหาคำตอบอย่างรวดเร็ว Norton 360 เป็นแอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ดีที่สุด มันมีแพ็กเกจความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมพร้อมฟีเจอร์ที่ครอบคลุมและข้อมูล VPN ไม่จำกัดในการดูแลให้คุณออนไลน์อย่างปลอดภัย หากคุณต้องการทดสอบมันบนอุปกรณ์ของคุณ คุณสามารถลองใช้งาน VPN ของ Norton ฟรี 60 วันได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน

ลอง Norton ฟรีเป็นระยะเวลา 60 วัน!

คำแนะนำลัด: โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024

  1. Nortonแอนตี้ไวรัสที่มี VPN อันดับ #1 เนื่องจากข้อมูลที่ไม่จำกัด ความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม ชุดฟีเจอร์ที่ครอบคลุม
  2. TotalAV – การเข้าถึงบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าไม่ดีนัก
  3. McAfee – ความเร็วสูงสุดสำหรับการสตรีมคุณภาพและการดาวน์โหลดที่รวดเร็ว แต่อินเทอร์เฟซน่าผิดหวัง
  4. Avira – เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันชีวิตดิจิทัลของคุณได้ไม่จำกัด แต่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงเนื้อหาสตรีมมิ่งที่จำกัด
  5. Bitdefender – อินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้เพื่อความง่ายในการใช้งาน แต่มีขีดจำกัดข้อมูลในแผนให้บริการส่วนใหญ่

ฉันให้คะแนนแอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ดีที่สุดอย่างไร

มีเกณฑ์สองสามอย่างที่ฉันใช้เพื่อให้คะแนนแอนตี้ไวรัสที่มี VPN:

  • การป้องกันแอนตี้ไวรัสที่แข็งแกร่ง – ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสเองต้องมีอัตราการตรวจจับมัลแวร์สูงและฟีเจอร์เสริมอย่างการป้องกันแรนซัมแวร์และการป้องกันฟิชชิ่ง
  • ข้อมูล VPN ไม่จำกัด – VPN ที่ข้อมูลจำกัดหมดลงอย่างรวดเร็วจะกลายเป็นไม่มีประโยชน์ซึ่งทำให้การมีข้อมูลไม่จำกัดเป็นสิ่งที่ดีเราต้องมี
  • ความเร็ว VPN ที่รวดเร็ว – การเชื่อมต่อ VPN ของคุณไม่ควรทำให้การท่องเว็บหรือคุณภาพในการสตรีมมิ่งของคุณลดลงจนสังเกตเห็นได้
  • รองรับการสตรีมมิ่ง – การให้สิทธิ์คุณเข้าถึงคลังข้อมูลสตรีมมิ่งใหม่ ๆ ถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ของ VPN แต่หลายโปรแกรมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปิดกั้นตามภูมิศาสตร์ได้

5 ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดที่มี VPN รวมมาให้ด้วย (ทดสอบแล้วเมื่อ 2024)

1. Norton – Secure VPN เสนอข้อมูลที่ใช้งานได้ไม่จำกัดในทุกแผนให้บริการ

ฟีเจอร์หลัก:

  • ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 30 แห่ง
  • แบนด์วิดธ์ไม่จำกัดในทุกแผนให้บริการ
  • เชื่อมต่อในเวลาเดียวกันได้สูงสุด 5 อุปกรณ์
  • การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 60 วัน
  • ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านอีเมล แชทออนไลน์และโทรศัพท์

Norton เป็นแอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ดีที่สุดเนื่องจากข้อมูลที่ไม่จำกัดอย่างแท้จริงและโปรแกรมพร้อมให้บริการในแผนให้บริการทั้งหมด ยกเว้น 1 แผน แม้ว่าแอนตี้ไวรัสมากมายจะมีขีดจำกัดข้อมูล VPN ในปริมาณไม่มากหรือสงวนไว้สำหรับแผนให้บริการที่มีราคาสูงกว่า แต่ Norton ให้คุณได้รับการป้องกันตลอดทั้งเดือนโดยไม่มีการยกเลิกการเชื่อมต่อ สิ่งนี้ช่วยให้ฉันรับชม Netflix เป็นชั่วโมง ๆ ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ท่องเว็บได้อย่างปลอดภัยและดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่มากมายได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเสียการป้องกันไป

ในระหว่างการทดสอบ Norton Secure VPN ทำความเร็วได้สูงมากระหว่าง 80-100Mbps ด้วยเซิร์ฟเวอร์ในท้องถิ่น อย่างไรก็ตามตอนที่ฉันเชื่อมต่อมันกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลออกไปในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ความเร็วดังกล่าวนี้ลดลงมาอยู่ที่ 7-15Mbps โดยส่วนตัวแล้วจากตำแหน่งของฉัน ฉันไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในออสเตรเลีย แต่ฉันมักใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาสำหรับการสตรีมมิ่ง ความเร็ว 11-15Mbps ที่ฉันได้รับจากเซิร์ฟเวอร์ลอสแองเจลิสนั้นมากเพียงพอสำหรับเนื้อหา HD แต่คุณอาจพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเข้าถึงความเร็วระดับ 25Mbps ขึ้นไปที่คุณต้องใช้สำหรับ 4K

หนึ่งในการใช้งาน VPN สุดโปรดของฉันคือการปลดล็อกการปิดกั้นทางภูมิศาสตร์และ Norton ทำงานร่วมกันกับ Netflix, HBO Max และ HBO Now ได้ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณติดตามรายการโปรดของคุณได้ทุกที่ที่คุณอยู่ ฉันสามารถสตรีมทั้งหมดนี้ได้โดยไม่พบกับปัญหาใด ๆ แม้ว่าจะมีการกระตุกในช่วงเริ่มต้นประมาณ 20 วินาทีก็ตาม

ภาพหน้าจอของ Norton Secure VPN ทำงานร่วมกับ Netflix

Norton ปลดบล็อก Netflix ของสหรัฐอเมริกาที่ที่ฉันสามารถรับชม Schitt’s Creek ได้

แม้ว่าฉันจะประทับใจกับภาพรวม VPN ของ Norton แต่ก็ยังมีข้อเสียสองสามอย่างที่คุณควรรู้เอาไว้ ประการแรกคือมันไม่มี Kill Switch บนแพลตฟอร์มอื่น ๆ นอกจาก Android Kill Switch จะตัดคุณออกจากอินเทอร์เน็ตหากการเชื่อมต่อ VPN ของคุณเกิดหลุด – มันเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญในการป้องกันการเปิดเผยตัวตนของคุณ

ของแถมที่ยอดเยี่ยมคือแผนให้บริการของ Norton ทั้งหมดมี VPN มาให้ด้วยซึ่งถือว่าหาได้ยากมาก ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยราคา $29.99 ต่อเดือน คุณจะสามารถใช้แผนให้บริการ Standard ของ Norton ซึ่งรวมใบรับรองสำหรับ 1 อุปกรณ์, การสำรองข้อมูลขนาด 2GB, ไฟร์วอลล์, ผู้จัดการรหัสผ่านและฟีเจอร์ PC SafeCam ฉันขอแนะนำแผนให้บริการ Deluxe เนื่องจากมันเป็นแผนให้บริการที่มอบความคุ้มค่าให้กับเงินมากที่สุด — มันมีรวมทุกอย่างในแผนให้บริการ Standard แถมใบรับรองสำหรับ 5 อุปกรณ์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ขนาด 50GB แพ็กเกจที่มีราคาแพงที่สุดคือแผนให้บริการ Premium ซึ่งครอบคลุม 10 อุปกรณ์และรวมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 75GB

หากคุณต้องการลองใช้งานมันด้วยตัวคุณเอง คุณสามารถลองใช้ Norton ฟรี 60 วันได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน ฉันทดสอบดูว่านโยบายนี้ใช้งานได้จริงหรือไม่โดยการลงทะเบียนสำหรับแผนให้บริการรายปีและจากนั้นก็ทดสอบบริการดังกล่าวเป็นเวลาสองสามสัปดาห์ หลังจากนั้นฉันก็ติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านแชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมงและคำขอคืนเงินของฉันก็ได้รับการอนุมัติเกือบจะในทันที เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนพยายามโน้มน้าวให้ฉันใช้งานต่อโดยการเสนอให้ฉันใช้งานต่อจากอายุสมาชิกของฉันเพิ่มฟรี 3 เดือน แต่ไม่ได้บังคับฉันต่อหลังจากที่ฉันยืนยันว่าฉันต้องการเงินคืน ฉันได้รับเงินคืนเข้าบัญชีของฉันใน 5 วันต่อมา! นอกจากนี้คุณยังสามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าในภาษาไทยได้อีกด้วย

2. TotalAV — การป้องกันมัลแวร์ที่ยอดเยี่ยมพร้อม VPN ที่เหมาะสำหรับการสตรีมมิ่ง

ฟีเจอร์หลัก:

  • ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 60 ตำแหน่ง
  • แบนด์วิดธ์ไม่จำกัดในทุกแผนให้บริการ
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันได้สูงสุด 6 อุปกรณ์
  • การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน
  • ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านอีเมลและโทรศัพท์

VPN ของ TotalAV เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมหากคุณเป็นคนที่ชอบการสตรีมมิ่ง เซิร์ฟเวอร์ของบริการนี้ปลดบล็อก Netflix ของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดาและเยอรมนี เช่นเดียวกันกับ Disney+, Hulu และ HBO Max ได้ มันยังเป็น VPN เดียวในรายการนี้ที่ปลดบล็อกแพลตฟอร์มทั้งหมดเหล่านี้ได้ การสตรีมทั้งหมดกระตุกน้อยกว่า 5 วินาทีและเล่นในความละเอียดแบบ Full HD ได้ทันทีซึ่งช่วยมอบประสบการณ์โดยรวมที่ดีกับผู้ใช้

ภาพหน้าจอของ Total AV VPN ที่ปลดบล็อก Hulu, Disney +, Netflix และ HBO Max

ฉันปลดบล็อก Netflix ในภูมิภาคหลักต่าง ๆ, Hulu, HBO Max และ Disney+ มากมายได้ด้วย TotalAV

คุณสามารถเชื่อมต่อกับตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ มากกว่า 60 ตำแหน่งซึ่งถือเป็นจำนวนตำแหน่งที่มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ VPN ใด ๆ ในรายการนี้ VPN ในแอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่จะมีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่เล็ก ดังนั้นการได้เห็นว่าโปรแกรมดังกล่าวมีตัวเลือกประเทศมากมายนั้นจึงถือเป็นเรื่องดี ด้วยตัวเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่กว้างขวาง TotalAV มอบตัวเลือกในการสตรีมมิ่งมากมายให้กับคุณ ความเร็วเซิร์ฟเวอร์ในท้องถิ่นที่ดีกว่าและการเชื่อมต่อที่ไว้วางใจได้มากขึ้นเนื่องจากแต่ละเซิร์ฟเวอร์มีผู้ใช้ไม่มาก

ในขณะทดสอบความเร็ว ฉันประทับใจอย่างยิ่งกับความเร็วเฉลี่ยของ 107Mbps คุณสามารถรับชมในคุณภาพได้สูงสุดถึง 4K ท่องเว็บได้โดยไม่มีการแทรกแซงและ Torrent ไฟล์ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วได้ด้วยความเร็วเหล่านี้ ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ขั้นต่ำ 28Mbps ในออสเตรเลีย (ที่อยู่ห่างจากฉันมากกว่า 13,500 กิโลเมตร!) ไปจนถึงสูงสุดที่ 225Mbps ในเยอรมนี ช่วงความเร็วทั้งสองนี้ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานส่วนใหญ่

ฉันยังมีความสุขกับซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสของ TotalAV ที่ว่ามันมีอัตราการตรวจจับ 100% และไฟร์วอลล์ เช่นเดียวกันกับการป้องกันแรนซัมแวร์และฟิชชิ่ง นี่เป็นแพ็กเกจรวมที่มาพร้อมกับอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ซึ่งทำให้การใช้ TotalAV เป็นที่น่าพึงพอใจ

หากคุณมีงบประมาณที่จำกัดและยังเห็นตัวเองเป็นผู้ใช้ที่ทรงพลังที่ไม่ต้องการเสียสละฟีเจอร์ต่าง ๆ TotalAV เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคุณ แอนตี้ไวรัสและแพ็กเกจ VPN ที่คุ้มค่าที่สุดคือแผนให้บริการ Internet Security และมันรวมใบรับรองสำหรับ 6 อุปกรณ์, เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพระบบ, เครื่องมือทำความสะอาดเบราว์เซอร์และการสแกนบนคลาวด์ นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกแผนให้บริการ Total Security ได้อีกด้วย มันครอบคลุม 7 อุปกรณ์และยังมีแม้กระทั่งตัวปิดกั้นโฆษณาและตู้นิรภัยรหัสผ่าน

คุณสามารถลองใช้ความสามารถในการสตรีมมิ่งอันยอดเยี่ยมของ TotalAV ฟรีเป็นระยะเวลา 30 วันได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน ฉันยืนยันฉันสามารถขอเงินคืนได้จริงโดยการลงทะเบียนแผนให้บริการรายปีและดำเนินการทดสอบเป็นระยะเวลาสองสามว่าก่อนที่จะขอเงินคืนโดยการส่งตั๋ว แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาเกือบสองวันในการตอบกลับ แต่ฉันก็ได้รับการอนุมัติและได้รับเงินคืนเข้าบัญชีใน 2 วันหลังจากนั้น

3. McAfee – ความเร็ว VPN ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการ Torrenting และ Streaming

ฟีเจอร์หลัก:

  • ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 20 ตำแหน่ง
  • แบนด์วิดธ์ไม่จำกัดในทุกแผนให้บริการ
  • เชื่อมต่อในเวลาเดียวกันสูงสุด 5 อุปกรณ์
  • การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน
  • ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านอีเมลและโทรศัพท์

McAfee เป็นอีกทางเลือกที่ดีหากคุณกำลังมองหาชุดคำสั่งผสมไวรัส/VPN McAfee มี VPN ที่รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อด้วยความเร็วเซิร์ฟเวอร์เฉลี่ยที่ 125Mbps ฉันทดสอบมันตอนเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในเยอรมัน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ในกรณีส่วนใหญ่ยกเว้นออสเตรเลีย ฉันได้รับความเร็วอย่างน้อย 130Mbps นี่ถือว่าน่าประทับใจอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงจำนวน VPN พรีเมียมที่ฉันทดสอบที่ไม่สามารถทำความเร็วได้ถึง 100Mbps ผลลัพธ์ของคุณจะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ที่ไหน แต่การทดสอบของฉันแสดงให้เห็นถึงความเร็วที่รวดเร็วสม่ำเสมอ

คุณสามารถใช้ความเร็วเหล่านี้เพื่อสตรีมในความละเอียดระดับ HD และ Ultra HD ได้ ในการทดสอบของฉัน เซิร์ฟเวอร์ของ McAfee ปลดบล็อก Netflix ของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเยอรมนีได้ Disney+ และ HBO Max ตรวจพบ VPN ของ McAfee และปิดกั้นสิทธิ์ในการเข้าถึง อย่างไรก็ตาม McAfee ทำงานได้ดีกว่าในระหว่างการทดสอบ Torrenting ของฉัน ฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในเยอรมันและดาวน์โหลดไฟล์ที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ขนาด 34GB ด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 115Mbps เสร็จภายใน 43 นาทีเท่านั้น! นี่ถือเป็นระยะเวลาที่ยอดเยี่ยม — และแน่นอน หมายเลข IP ที่แท้จริงของฉันก็ถูกปิดบังเอาไว้เพื่อที่ฉันจะได้สามารถ Torrent ได้อย่างปลอดภัย

ภาพหน้าจอของ McAfee VPN ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เยอรมันขณะดาวน์โหลดไฟล์ torrent 35GB

ฉันใช้ประโยชน์จากความเร็วที่รวดเร็วของ McAfee ในการ Torrent เกมขนาด 35GB ภายใน 45 นาที

แอนตี้ไวรัสเองก็มีอัตราการตรวจจับสูงที่น่าประทับใจถึง 100% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริการที่ครอบคลุมของการป้องกันแรนซัมแวร์ สปายแวร์ ฟิชชิ่งตามเวลาจริงที่แข็งแกร่ง มันไม่มีไม่มีอะไรมากนักเหมือนกับ Norton 360 แต่มันก็ยังเป็นแพ็กเกจที่ครอบคลุม

ข้อเสียหลักของ McAfee คืออินเทอร์เฟซ VPN ซึ่งใช้งานได้ยากมาก ไม่มี Kill Switch หรือความสามารถในการเปลี่ยนโปรโตคอลเข้ารหัส คุณควรเลือก VPN อื่นหากคุณต้องการความมั่ใจในความปลอดภัยของการเชื่อมต่อของคุณโดยสมบูรณ์

แผนให้บริการของ McAfee จัดโครงสร้างตามจำนวนอุปกรณ์ที่คุณต้องการป้องกัน แผนให้บริการ Single Device, Multi-Device และ Family ทั้งหมดมาพร้อมกับการป้องกันตามเวลาจริง เครือข่ายความปลอดภัยที่บ้านเพื่อนป้องกันไฟร์วอลล์ของคุณและปิดกันแฮกเกอร์ การป้องกันฟิชชิ่งและการป้องกันการฉ้อโกงและผู้จัดการรหัสผ่าน

McAfee ยังมอบฟีเจอร์เพิ่มเติมให้กับคุณหากคุณเลือกต่ออายุแบบอัตโนมัติ ดังนั้นหากคุณต้องการ VPN คุณจะต้องเลือกการต่ออายุแบบอัตโนมัติเมื่อคุณลงทะเบียนครั้งแรก การยกเลิกก็ไม่ยาก ดังนั้นฉันจึงขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้เลือกต่ออายุอัตโนมัติในทุกกรณี คุณยังจะได้รับเครื่องมือ Identity Theft (สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น) ด้วย

คุณสามารถลองใช้ McAfee ฟรี 30 วันได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน ฉันลงทะเบียนใช้งานเป็นเวลาหนึ่งเดือนด้วยตัวเองและจากนั้นก็ส่งคำขอไปเพื่อให้โทรติดต่อกลับ แตกต่างจากบริการแอนตี้ไวรัสอื่น ๆ ที่มีแชทออนไลน์และบริการทางอีเมล McAfee ดำเนินการคืนเงินผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น อย่างไรก็ตามฉันได้รับสายโทรติดต่อภายในเวลาน้อยกว่า 10 นาที! ฉันยืนยันการขอเงินคืนของฉันซึ่งได้รับการดำเนินการโดยตัวแทนฝ่ายสนันสนุนลูกค้าทันที – และฉันก็ได้รับเงินคืนกลับมาใน 7 วันทำการ

4. Avira – Phantom VPN รองรับการเชื่อมต่อในเวลาเดียวกันไม่จำกัด

ฟีเจอร์หลัก:

  • ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 35 แห่ง
  • แบนด์วิดธ์ไม่จำกัด
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันได้ไม่จำกัด
  • การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วันที่มีมาให้ในแผนให้บริการระยะยาว
  • ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านอีเมลและโทรศัพท์

Avira เป็นแอนตี้ไวรัสฟรีที่ดีที่มาพร้อมกับ VPN ที่ดีไม่แพ้กัน สิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดของ Avira Phantom VPN คือการรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเวลาเดียวกันไม่จำกัด นี่หมายความว่าคุณสามารถแบ่งปันการสมัครสมาชิกเดียวกับทั้งครอบครัวของคุณหรือกับเพื่อน ๆ ได้

ฉันทดสอบสิ่งนี้โดยการติดตั้ง Avira ลงบน Windows PC จำนวน 3 เครื่อง, Macbook Air, โทรศัพท์ Android 2 เครื่อง, iPhone และ iPad ฉันได้รับความเร็วและการเชื่อมต่อที่น่าเชื่อถือในอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดและตลอดทั้งวัน – ไม่มีอุปกรณ์ใดที่เกิดการขาดการเชื่อมต่อเลย แม้จะมีอุปกรณ์หนึ่งที่ขาดการเชื่อมต่อชั่วคราว แต่ Kill Switch ที่ผสานรวมของ VPN ก็สามารถป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่ระบุตัวตนรั่วไหลได้

ภาพหน้าจอของเดสก์ท็อป Avira Phantom VPN และแอพมือถือ

ฉันใช้สิทธิประโยชน์ของการติดตั้งลงบนอุปกรณ์ได้ไม่จำกัดโดยการเชื่อมต่อกับ 8 อุปกรณ์ที่ฉันมีที่บ้านของฉัน

น่าเสียดายนี่เป้นตัวเลือกความปลอดภัยเดียวที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม VPN ทำงานบนโปรโตคอลเข้ารหัส OpenVPN ยอดนิยมซึ่งทำให้มั่นใจได้ถึงสมดุลที่ยอดเยี่ยมระหว่างความปลอดภัยและความเร็ว การทดสอบของฉันแสดงให้เห็นสิ่งนี้ – ฉันได้รับความเร็วโดยเฉลี่ย 85Mbps ในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนีและออสเตรเลีย นี่ถือเป็นความเร็วที่มากพอสำหรับการท่องเว็บแบบวันต่อวัน ดาวน์โหลดและการสตรีมมิ่ง น่าเสียดาย แตกต่างจาก VPN ของ Norton และ TotalAV ซึ่งสามารถปลดบล็อกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ ได้ ฉันเข้าถึงได้เฉพาะบัญชี Netflix ของฉันเท่านั้น

นอกจาก Phantom VPN แล้ว Avira ก็มีกลไกแอนตี้ไวรัสที่แข็งแกร่งและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของอุปกรณ์ของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณยังจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงฟีเจอร์เสริมที่มีประโยชน์ซึ่งรวมถึงผู้จัดการรหัสผ่านและเครื่องมืออัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติ

ข่าวดีก็คือแพ็กเกจของ Avira ทั้งหมดนั้นมาพร้อมกับ VPN Avira ยังเป็นหนึ่งในแผนให้บริการฟรีที่ดีที่สุดด้วย — มันมีการป้องกันตามเวลาจริง เบราว์เซอร์สำหรับการช้อปปิ้งที่ปลอดภัย เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวร ผู้จัดการรหัสผ่านและ Phantom VPN มาให้ด้วย แผนให้บริการ Antivirus Pro ของ Avira มาพร้อมกับทุกสิ่งที่แผนให้บริการฟรีมีพร้อมเครื่องมือป้องกันอีเมล แผนให้บริการ Internet Security จะมาพร้อมกับผู้จัดการรหัสผ่านของ Avira เวอร์ชันโปร ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวของทั้งสามแผนให้บริการทั้งหมดนี้คือ VPN มาพร้อมการใช้ข้อมูลที่จำกัดฟรี 500MB ต่อเดือน

หากคุณต้องการแอนตี้ไวรัสที่มี VPN แบบไม่จำกัด คุณจะต้องเลือกแผนให้บริการแบบ Premium Paid มันจะมอบสิทธิ์ในการเข้าถึงทุกอย่างในแพ็กเกจอื่น ๆ กับคุณและเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัวขั้นสูงและ Phantom VPN (ไม่จำกัดข้อมูล)

การรับประกันยินดีคืนเงินของ Avira นั้นแตกต่างจากผู้ให้บริการอื่น ๆ ในรายการนี้ หากคุณสมัครสมาชิก 1 เดือน คุณจะได้รับการช่วงเวลาในการขอเงินคืน 14 วัน ในขณะที่คุณจะได้รับระยะเวลา 30 วันในแผนให้บริการแบบรายเดือน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด คุณก็สามารถลองใช้ Avira ด้วยตัวคุณเองได้โดยไม่มีความเสี่ยง – ฉันทดสอบสิ่งนี้โดยการลงทะเบียนใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนและร้องขอเงินคืนหลังจากที่ทดลองใช้งานมันเป็นระยะเวลาสองสามวัน ฉันติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านทางอีเมลและได้รับเงินคืนกลับมาภายใน 5 วัน

5. Bitdefender – เครือข่าย VPN ได้รับการรับรองโดย Hotspot Shield

ฟีเจอร์หลัก:

  • ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 25 วัน
  • แบนด์วิดธ์ไม่จำกัดเฉพาะในแผนให้บริการ Premium Security
  • เชื่อมต่อในเวลาเดียวกันได้สูงสุด 10 อุปกรณ์
  • การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน
  • ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านแชทออนไลน์ อีเมลและโทรศัพท์

Bitdefender ได้ร่วมมือกับ Hotspot Shield ที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้าง VPN นี้ คุณสามารถเข้าถึง VPN ได้จากภายในแอปของ Bitdefender ง่าย ๆ เพียงเปิดรายการเซิร์ฟเวอร์ เลือกประเทศและเชื่อมต่อ คุณสามารถเลือกฟังก์ชันเชื่อมต่ออัตโนมัติเพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมจากตำแหน่งของคุณได้ ฉันยังมีความสุขที่ได้เห็น Kill Switch แบบผสานรวมและตัวเลือกการเชื่อมต่ออัตโนมัติ (ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเปิดแอป P2P หรือใช้งาน Wi-Fi สาธารณะ)

ฉันพบว่าความเร็วของ Bitdefender นั้นเสถียร แต่ค่อนข้างไม่น่าประทับใจ ในการทดสอบความเร็วของฉัน Bitdefender มีความเร็วโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 51Mbps นี่รวมถึงความเร็วสูงสุดที่ 58Mbps จากเซิร์ฟเวอร์ในสหราชอาณาจักรและต่ำสุดที่ 42Mbps — ซึ่งช้ากว่า VPN ของ McAfee อยู่มาก อย่างไรก็ตามฉันพบว่ามันก็ยังรวดเร็วมากพอที่จะสตรีมเนื้อหาในความละเอียดระดับ HD และ 4K บน Netflix ได้ น่าเสียดายที่มันไม่สามารถปลดบล็อก Disney+, HBO Max หรือ Hulu ได้

ปัญหาหลักที่พบใน Bitdefender คือมันมีขีดจำกัดข้อมูลในแผนให้บริการ แผนให้บริการแบบชำระเงินทั้งหมดจะได้รับขีดจำกัดข้อมูลรายวัน 200MB ซึ่งมากพอสำหรับการท่องเว็บทั่วไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หากคุณต้องการข้อมูลไม่จำกัด คุณจะต้องสั่งซื้อการสมัครสมาชิก VPN เฉพาะหรือลงทะเบียนสำหรับแผนให้บริการ Premium Security ของ Bitdefender แม้ว่าซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสของ Bitdefender จะเป็นโปรแกรมที่ยอดเยี่ยมที่มีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ 100% แต่คุณสามารถหา VPN ที่มีไม่จำกัดในราคาที่เท่ากันหรือถูกกว่าได้

โชคดีที่ Bitdefender ต่างมีทั้งช่วงเวลาทดลองใช้งานฟรี 30 วันและการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน สิ่งนี้จะให้คุณได้ทดลองใช้งานทั้งซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสและ VPN ของ Bitdefender โดยไม่มีความเสี่ยงเป็นระยะเวลารวมถึง 60 วัน ฉันลงทะเบียนเพื่อยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่และจากนั้นก็ส่งอีเมลไปยังฝ่ายสนับสนุนลูกค้าเพื่อร้องขอเงินคืน ไม่กี่วันต่อมา ฉันได้รับการยืนยันคำขอของฉันและได้รับเงินคืนเข้าบัญชีของฉันภายใน 5 วันต่อมา

ตารางเปรียบเทียบ: แอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดที่มี VPN มาให้ด้วยในปี 2024

Norton เป็นอันดับ #1 ในรายการนี้เพราะมันเป็นแพ็กเกจแอนตี้ไวรัสที่มีฟีเจอร์โดยรวมมากที่สุดและ VPN ที่มีความสามารถของพวกเขานั้นก็ช่วยทำให้มันขึ้นมาเป็นอันดับที่หนึ่งได้ มันยังเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแอนตี้ไวรัสที่มีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ 100%, ไฟร์วอลล์ที่แข็งแกร่งและส่วนเสริมที่มีประโยชน์ (ฟรี) อย่างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเข้ารหัสบนคลาวด์มาให้ด้วย

ใบรับรองอุปกรณ์ ปลดบล็อก Netflix ได้ไหม? รองรับการ Torrenting หรือเปล่า? ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ ไม่มีการกระตุกใช่ไหม?
1. Norton 5 30+
2. TotalAV 6 60+
3. McAfee 5 20+
4. Avira ไม่จำกัด 35+
5. Bitdefender 10 25+

แอนตี้ไวรัสยอดเยี่ยมที่ไม่ได้รับการจัดอันดับในรายการนี้

Kaspersky

Kaspersky เป็นชื่อที่เป็นที่รู้จักในอวกาศของแอนตี้ไวรัสมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้วและมันมีแพ็กเกจที่ดีโดยรวม เหตุผลหลักที่ฉันไม่สามารถรวมมันในรายการนี้ได้เพราะราคาของ VPN เช่นเดียวกันกับ Kaspersky เป็นโปรแกรมแยกต่างหากจากแอนตี้ไวรัส อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการทั้งแอนตี้ไวรัสและ VPN คุณจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม – คุณควรจะใช้แพ็กเกจที่ครอบคลุมอย่าง Norton 360 จะดีกว่า

Avast และ AVG

มีการเปิดเผยว่า Avast ได้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้และขายให้กับบริษัทต่าง ๆ มากมายเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ หากนี่เป็นกระบวนการตามความยินยอมของลูกค้า งั้นฉันก็ไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาใหญ่อะไร แต่มันเป็นไปโดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ใช้ทราบอย่างเหมาะสม หนึ่งในฟังก์ชันหลักเบื้องหลังการใช้ VPN คือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่ Avast ได้ทำลายความไว้วางใจของฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถรวมมันในรายการ VPN ที่ดีที่สุดได้

AVG เองก็ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันนับตั้งแต่ที่ Avast เข้าซื้อกิจการในปี 2016

คำถามที่พบบ่อย: ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสและ VPN

เราจะเป็นต้องมี VPN และแอนตี้ไวรัสหรือไม่?

จำเป็น ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสและ VPN ทำหน้าที่ที่แตกต่างกันอย่างมาก VPN ยกระดับความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์ของคุณโดยการเข้ารหัสการเชื่อมต่อของคุณ ในขณะที่แอนตี้ไวรัสจะป้องกันคุณจากมัลแวร์ แรนซัมแวร์และภัยคุกคามออนไลน์อื่น ๆ เมื่อใช้งานทั้งสองโปรแกรมร่วมกัน มันจะมอบระดับการป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ มากมายโดยรวมที่ยอดเยี่ยมกับคุณ

แอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ราคาถูกและดีที่สุดคือโปรแกรมใด?

แอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ราคาถูกและดีที่สุดคือ Norton มันมีอัตราการตรวจจับ 100% และฟีเจอร์ความปลอดภัยอื่น ๆ มากมายซึ่งรวมถึงการป้องกันแรนซัมแวร์และฟิชชิ่ง จับคู่กันกับ VPN แบนด์วิดธ์ที่รวดเร็วและไม่จำกัดทำให้คุณมีสิทธิ์ในการเข้าถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากมายในราคาที่น่าคบหา Norton เป็นแพ็กเกจความปลอดภัยโดยรวมที่น่าทึ่ง

แอนตี้ไวรัสกับ VPN โปรแกรมดีกว่ากัน?

ไม่มีโปรแกรมใดที่ดีกว่า – ทั้งสองโปรแกรมต่างจัดการภัยคุกคามที่แตกต่างกันและมอบสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายโดยขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ แอนตี้ไวรัสถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันอุปกรณ์ของคุณจากภัยคุกคามดิจิทัล ในขณะที่ VPN ยกระดับความเป็นส่วนตัวและเพิ่มความสามารถในการปลดบล็อกเนื้อหาตามภูมิศาสตร์ ในกรณีนี้จึงไม่มีโปรแกรมใดที่ดีกว่ากัน – ฉันแนะนำว่าอุปกรณ์ทุกเครื่องมีโปรแกรมทั้งสองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจความปลอดภัยที่สมบูรณ์

ใช้ VPN และแอนตี้ไวรัสเพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูงสุด

การใช้แอนตี้ไวรัสคุณภาพดีเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เมื่อไม่มี VPN คุณก็ยังอาจถูกเปิดเผยตัวตนทางออนไลน์ได้ หากความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์คือสิ่งสำคัญสำหรับคุณและคุณต้องการหลีกเลี่ยงการถูกติดตามโดย ISP, แฮกเกอร์และผู้ถือลิขสิทธิ์ งั้น VPN ก็เป็นเครื่องมือที่จำเป็นต้องมี

แม้ว่าจะไม่มีสิทธิประโยชน์ด้านความปลอดภัยเหล่านี้ VPN ก็ยังมอบความสามารถในการรับชมเนื้อหาที่ปกติแล้วจะถูกปิดกั้นตามภูมิศาสตร์และไม่เปิดให้บริการกับคุณ ฉันมักใช้ VPN เพื่อปลดบล็อก Netflix, HBO และบริการสตรีมมิ่งหลักอื่น ๆ เช่นเดียวกันกับข่าวสารต่างประเทศ

หลังจากที่ทดสอบแอนตี้ไวรัสและ VPN มากมาย ฉันแนะนำ Norton ในฐานะตัวเลือกที่ดีที่สุดของฉัน แพ็กเกจความปลอดภัยมอบอัตราการป้องกันและฟีเจอร์ความปลอดภัยอื่น ๆ ที่ดีในขณะที่ VPN เสนอการป้องกันที่ไม่มีที่สิ้นสุดด้วยการอนุญาตการใช้ข้อมูลไม่จำกัดและความเร็วที่รวดเร็วสูง ลองทดสอบมันด้วยตัวคุณเอง – คุณสามารถลองใช้ Norton ฟรีได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 60 วัน.


สรุป: โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มี VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024

อันดับสูงสุด ตัวเลือกยอดนิยม
Norton
$ 29.99 / year ประหยัด  58%
TotalAV
$ 19.00 / year ประหยัด  80%
McAfee
$ 39.99 / year ประหยัด  69%
Avira
$ 26.99 / year ประหยัด  43%
Bitdefender
$ 24.99 / year ประหยัด  59%
พวกเราจัดอันดับผู้ให้บริการตามการทดสอบและการค้นคว้าอย่างเข้มงวด แต่ก็จะมีการคำนึงถึงความคิดเห็นของคุณและค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการด้วย ผู้ให้บริการบางรายนั้นจะมีบริษัทแม่แห่งเดียวกันกับพวกเรา
รีเบคก้า ไวท์
ถูกเขียนขึ้นโดย รีเบคก้า ไวท์
Rebecca White เป็นบรรณาธิการที่ WizCase เธอเชี่ยวชาญเกี่ยวกับ VPN, แอนตี้ไวรัสและเครื่องมือจัดการรหัสผ่านและทดสอบโปรแกรมทั้งหมดที่ระบุในบทความที่เธอปรับปรุงด้วยตัวเอง Rebecca มุ่งมั่นที่จะทำให้บทความแต่ละบทความเป็นไปตามแนวทางและทดสอบกระบวนการเพื่อให้มั่นใจว่ารีวิวนั้นเป็นรีวิวที่ยุติธรรม ก่อนหน้า WizCase Rebecca เป็นนักเขียนอิสระที่สนใจเกี่ยวกับการรีวิวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และคู่มือเป็นหลัก นับตั้งแต่ที่เข้าร่วมกับ WizCase เธอก็ได้ขยายความสนใจของเธอมายังบทความการเปรียบเทียบ รีวิวซอฟต์แวร์และรายการจัดอันดับ 10 อันดับแรก ในเวลาว่าง เธอจะนั่งตัดต่อวิดีโอและออกแบบกราฟิก ตอนที่เธอไม่ได้นั่งอยู่ที่คอมพิวเตอร์ Rebecca จะสนุกไปกับการต่อจิ๊กซอว์ งานฝีมือและเดินป่า
คุณชอบบทความนี้ไหม?
โหวตให้คะแนนเลยสิ!
ฉันเกลียดมัน ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พอใช้ได้ ค่อนข้างดี รักเลย!

เราดีใจที่คุณชื่นชอบผลงานของเรา!

ในฐานะผู้อ่านผู้ทรงคุณค่า คุณช่วยให้คะแนนเราบน Trustpilot หน่อยได้ไหม? การให้คะแนนนั้นรวดเร็วและสำคัญกับเรามาก ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ!

ให้คะแนนเราบน Trustpilot
4.55 ได้รับการโหวตให้คะแนนโดย 4 ผู้ใช้
ชื่อเรื่อง
ความคิดเห็น
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ
Loader
Please wait 5 minutes before posting another comment.
Comment sent for approval.

แสดงความคิดเห็น

Loader
Loader แสดงเพิ่มเติม...