PrivateVPN
8.8
ยอดเยี่ยม
เยี่ยมชม PrivateVPN เว็บไซต์

PrivateVPN รีวิว 2024: สมควรซื้อหรือเปล่า?

ภาพรวม PrivateVPN 2024

PrivateVPN สาบานว่ามัน “ปลดบล็อกอะไรก็ได้และปกป้องได้ทุกอย่าง” ในราคาแสนถูก แต่ฉันมักจะสงสัยคำกล่าวอ้างที่แรงกล้าเหล่านี้ เพื่อตัดผ่านการโฆษณาต่าง ๆ และดูว่ามันวัดกันอย่างไร ฉันจึงใช้เวลาสองสามสัปดาห์ในการดำเนินการทดสอบโดยละเอียด

มันกลายเป็นว่า PrivateVPN ทำได้อย่างที่กล่าวอ้าง เซิร์ฟเวอร์ของพวกเขาปลดบล็อก Netflix และเว็บไซต์สตรีมมิ่งยอดนิยมอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย PrivateVPN ยังทำงานได้แม้ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์เข้มงวดอย่างประเทศจีนด้วย!

ชุดฟีเจอร์ความปลอดภัยนั้นก็บกพร่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับยักษ์ในอุตสาหกรรมอย่าง ExpressVPN แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังสามารถออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ที่จำเป็นอย่างการเข้ารหัสระดับทหาร, Kill Switch และการป้องกันการรั่วไหลของ DNS และ IP

หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์การใช้งานด้วยตัวคุณเอง คุณสามารถลองใช้ PrivateVPN โดยปราศจากความเสี่ยงได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน คุณมีเวลา 30 วันเพื่อขอเงินคืนเต็มจำนวน หลังจากทดสอบมันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ฉันก็ขอเงินคืนด้วยการรับประกันยินดีคืนเงินและฉันก็ได้รับเงินคืนกลับมา 100% ใน 5 วันทำการ

ลองใช้ PrivateVPN โดยไม่มีความเสี่ยง!

ไม่มีเวลาอ่านใช่ไหม? นี่คือบทสรุปฉบับ 1 นาที

เริ่มต้นใช้งาน PrivateVPN

PrivateVPN ปลดบล็อก Netflix, Disney+, Amazon Prime Video, Hulu, HBO Max และ BBC iPlayer ได้

ในฐานะผู้เสพติดโทรทัศน์และภาพยนตร์ตัวจริง ฉันยินดีที่ได้พบว่า PrivateVPN สามารถ “ปลดบล็อกได้ทุกอย่าง” ตามที่โฆษณาเอาไว้ในระหว่างการทดสอบของฉัน

แม้ว่า PrivateVPN จะไม่มีแท็บ “บริการสตรีม” พร้อมเซิร์ฟเวอร์เฉพาะอีกต่อไปแล้ว แต่เซิร์ฟเวอร์ “IP เฉพาะ” ก็สามารถเข้าถึงบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมที่สุดได้อย่างเสถียร นี่เป็นหมายเลิกที่ซับซ้อนที่ไม่ถูกแบ่งปันกับผู้ใช้รายอื่น ๆ

ด้วยการใช้หมายเลข IP ใหม่ทุกครั้งที่คุณเชื่อมต่อ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะมอบสิทธิ์ในการเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่า ในกรณีหายาก ฉันไม่พบเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถใช้งานได้ แต่ทีมสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงของ PrivateVPN ก็คอยชี้ทางฉันไปยังทิศทางที่ถูกต้องเสมอ

Netflix: ปลดบล็อกได้

PrivateVPN เข้าถึงคลังข้อมูลของ Netflix ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ที่ฉันทดสอบกับทีมงานที่อยู่ต่างประเทศได้ เว็บไซต์ของบริษัทมีเมนูฉบับเต็มของประเทศที่ PrivateVPN ทำงานร่วมกันกับ Netflix ได้และทีมงานและฉันก็ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์เกือบทั้งหมดในรายการดังกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง – เช่น ไม่มีเซิร์ฟเวอร์ในเฮลซิงกิในฟินแลนด์อีกต่ไปแล้ว เพื่อนร่วมงานของฉันที่อยู่ในประเทศดังกล่าวใช้เฉพาะตำแหน่งในฟินแลนด์ที่เธอพบ (เอสโป) เท่านั้นและสามารถลงชื่อเข้าใช้ Netflix ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ เพื่อนร่วมงานรายอื่น ๆ ยังสามารถเข้าถึง Netflix ในบางประเทศ (เช่น สาธารณรัฐเช็ก) ที่ไม่ได้อยู่ในรายการได้ด้วย

สกรีนช็อตของรายการเซิร์ฟเวอร์บนเว็บไซต์ของ PrivateVPN ที่ควรทำงานกับ Netflix

คุณจะพบตัวอย่างของประเทศที่เซิร์ฟเวอร์เข้ากันได้กับ Netflix บนเว็บไซต์ของ PrivateVPN

คุณอาจสังเกตเห็นการกระตุกเล็กน้อยหากคุณเข้าถึง Netflix โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกล ฉันพบว่าความเร็วของเครือข่ายลดลงมากกว่าที่ฉันพบในตำแหน่งของฉันในเวอร์จิเนีย (ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับ VPN) ฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในลอสแองเจลิสและได้รับความเร็วอยู่ที่ 22Mbps แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ยังรวดเร็วพอสำหรับการสตรีมมิ่งในความละเอียดระดับ HD – ฉันพบกับการสะดุดตอนเริ่มต้น 10 วินาที แต่หลังจากที่รายการเริ่มเล่นแล้ว ฉันก็ไม่พบกับการแทรกแซงเพิ่มเติมใด ๆ เซิร์ฟเวอร์ในไมอามีของ PrivateVPN เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่รวดเร็วที่สุดในระหว่างการทดสอบของฉันโดยมันมอบความเร็วให้กับฉัน 45Mbps – ซึ่งมากพอที่จะสตรีม Stranger Things บน Netflix ในความละเอียดระดับ 4K ได้

ฉันรับชม Stranger Things ในความละเอียดระดับ 4K ขณะเชื่อมต่อกับ PrivateVPN

Disney+: ปลดบล็อกได้

ด้วยการใช้เมนูเซิร์ฟเวอร์ PrivateVPN หลัก ฉันไม่พบตัวเลือกที่ใช้งานกับ Disney+ ได้ ฉันจึงขอให้ทีมสนับสนุนช่วยและพวกเขาบอกให้ฉันใช้เซิร์ฟเวอร์ในนิวยอร์กในเมนู IP เฉพาะ แน่นอนว่ามันทำงานร่วมกันกับ Disney+ ได้ทันที ฉันลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่จ่ายเงินของฉันและรับชม Star Wars ทั้งหมดที่ฉันอยากดูได้โดยไม่ต้องรับมือกับการสะดุดเลย

เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะของ PrivateVPN ในนิวยอร์กมอบสิทธิ์ในการเข้าถึง Disney+ ที่เสถียร

เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะอื่น ๆ (ซึ่งรวมถึงตำแหน่งในเยอรมนี อิตาลี แคนาดา สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย) ยังทำงานร่วมกันกับ Disney+ ได้ดีอีกด้วยซึ่งหมายความว่า PrivateVPN สามารถเข้าถึงคลังข้อมูลของ Disney+ ทั้งหมดทั่วโลกได้

Amazon Prime Video: ปลดบล็อกได้

PrivateVPN สามารถเข้าถึง Amazon Prime Video ในออสเตรเลียและส่วนอื่น ๆ ของยุโรปได้ทันทีซึ่งรวมถึงเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปนและสวิตเซอร์แลนด์

สำหรับประเทศอื่น ๆ หากเซิร์ฟเวอร์มาตรฐานไม่สามารถใช้งานได้ ตัวเลือก IP เฉพาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ญี่ปุ่นและที่อื่น ๆ จะช่วยให้คุณรับชม The Boys ได้โดยไม่มีการกระตุก แถมยังในความละเอียดระดับ HD ด้วย

คุณสามารถรับชม The Boys บน Amazon Prime Video โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและอื่น ๆ ได้

Hulu: ปลดบล็อกได้

ฉันไม่พบปัญหาการลงชื่อเข้าใช้ Hulu ด้วยเซิร์ฟเวอร์ใด ๆ ของ PrivateVPN ในสหรัฐอเมริกาเลย ฉันสามารถโหลด Palm Springs ได้ภายใน 3 วินาทีและมันไม่กระตุกเลยสักครั้งระหว่างภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ที่ดียิ่งกว่านั้นคือฉันรับชมในความละเอียดระดับ HD ได้และไม่พลาดสักช่วงเวลาการแสดงตลกของ Andy Samberg เลยสักครั้ง

เนื่องจากความเร็วของ PrivateVPN สามารถลดลงได้อย่างมากเนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล ฉันจึงขอแนะนำให้ลองใช้เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของคุณมากที่สุดเท่าหากเป็นไปได้

เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาของ PrivateVPN สามารถเข้าถึง Hulu ได้อย่างเสถียร

HBO Max: ปลดบล็อกได้

เซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN ส่วนใหญ่ในละตินอเมริกาสามารถเข้าถึง HBO Max ได้ทันที หลังจากที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าในเซิร์ฟเวอร์มาตรฐานในสหรัฐอเมริกา ฉันก็ทดสอบตัวเลือกจากแท็บ IP เฉพาะของ PrivateVPN เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะในนิวยอร์กและลอสแองเจลิสทำงานร่วมกับบริการนี้ได้โดยไม่มีปัญหา

Screenshot of PrivateVPN connecting to a US server and unblocking the movie Aquaman on HBO Max
ฉันไม่พลาด Aquaman สักนาทีเดียวเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะของ PrivateVPN

แม้ว่าบางครั้งรายการหรือภาพยนตร์ของฉันจะแตกเป็นพิกเซล แต่มันก็เป็นแบบนั้นเพียง 2-3 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นคุณภาพระดับ HD

BBC iPlayer: ปลดบล็อกได้

ด้วยเซิร์ฟเวอร์ในลอนดอนและแมนเชสเตอร์ PrivateVPN เข้าถึงเนื้อหาบน BBC iPlayer ได้อย่างง่ายดาย เช่น Peaky Blinders และให้คุณสตรีมอย่างสะดวกสบายโดยไม่มีการกระตุก สะดุดหรือปัญหารูปภาพ

PrivateVPN เป็นหนึ่งใน VPN สองสามรายการที่สามารถเข้าถึง BBC iPlayer ได้อย่างเสถียร

สตรีมอย่างอิสระด้วย PrivateVPN

ความเร็ว

- 9.0 / 10

PrivateVPN รวดเร็วไหม? (ใช่)

PrivateVPN รวดเร็วจริง แต่คุณจะได้รับความเร็วที่ดีกว่าจากคู่แข่งระดับชั้นนำอย่าง ExpressVPN หรือ CyberGhost สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดที่ฉันพบคือความเร็วของ PrivateVPN ยังคงรวดเร็วแม้ในตอนที่ฉันเชื่อมต่อกับเซิรืฟเวอร์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลโดยปกติแล้วจะทำให้สตรีมสด รับชมภาพยนตร์ในความละเอียดระดับ 4K หรือเล่นเกมออนไลน์ได้ยากเนื่องจาก Ping ที่สูงกว่า โชคดีที่ความเร็วในการดาวน์โหลดของฉันรวดเร็วเกือบเท่ากันในโตและแอตแลนต้าแม้ว่าเซิร์ฟเวอร์จะมี Ping ที่สูงกว่าก็ตาม

ผลการทดสอบความเร็ว

ฉันได้รับความเร็วที่คล้ายกันบนเซิร์ฟเวอร์มาตรฐานและเซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะของ PrivateVPN ขั้นแรกฉันทดสอบความเร็วมาตรฐานโดยไม่เชื่อมต่อกับ VPN ดูก่อนและฉันเห็นว่าความเร็วดาวน์โหลดปกติของฉันคือ 188Mbps ด้วยความเร็วดาวน์โหลดปกติของฉันที่ 188Mbps ฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในนิวยอร์ก (ซึ่งใกล้กับตำแหน่งที่แท้จริงของฉัน) และเห็นว่าความเร็วของฉันลดลงเหลือ 82Mbps

ในขณะที่ความเร็วที่ลดลงถึง 66% อาจฟังดูเยอะมาก แต่ความเร็วดังกล่าวนั้นยิ่งกว่ามากพอสำหรับการสตรีมมิ่งในความละเอียดระดับ 4k, พูดคุยผ่านวิดีโอแชทในความละเอียดระดับ HD และกิจกรรมที่ใช้แบนด์วิดธ์สูงอื่น ๆ นอกจากนี้มันยังค่อนข้างรวดเร็วกว่าผลทดสอบเดิมที่ 68Mbps ที่ฉันทดสอบในเซิร์ฟเวอร์เดียวกันเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นหากความเร็วเครือข่ายของคุณช้าอยู่แล้ว ExpressVPN เสนอความเร็วที่เสถียรมากกว่าในเครือข่ายทั่วโลก – แม้แต่ในเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกล

ภาพหน้าจอของแผนภูมิแท่งแสดงผลการทดสอบความเร็วบนเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก

ฉันไม่พบกับปัญหาการสตรีมมิ่งในความละเอียดระดับ HD หรือกิจกรรมที่ใช้แบนด์วิดธ์สูงอื่น ๆ ด้วย PrivateVPN

ฉันประทับใจที่ไม่ว่าฉันจะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรหรือญี่ปุ่น ความเร็วโดยทั่วไปของฉันก็ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมที่ประมาณ 50-มากกว่า 90 Mbps แม้ว่าความเร็วจะลดลง 45-75% จากความเร็วปกติของฉันที่ 188Mbps แต่ความสามารถในการสตรีมในความละเอียดระดับ HD หรือเล่นเกมสำหรับหลายผู้เล่นก็ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นหากความเร็วปกติของคุณอยู่ที่ 50Mbps หรือต่ำกว่า เซิร์ฟเวอร์ PrivateVPN ส่วนใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้งานของคุณได้อย่างมาก

สกรีนช็อตของการทดสอบความเร็ว PrivateVPN ที่แสดงเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี และญี่ปุ่น

เซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN รวดเร็วมกา ๆ แม้ในตอนที่ฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกล

ความเร็วในการเล่นเกม

ฉันไม่เคยพลาดการยิงหัวเนื่องจากการกระตุกในเซิร์ฟเวอร์สำหรับเล่นเกมของ PrivateVPN เลย เพื่อทดสอบขีดจำกัด ฉันจึงเชื่อมต่อกับตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลในบริสเบน ประเทศออสเตรเลียและเปิดเกม Counter-Strike: Global Offensive แม้ว่าจะมีความเร็วอยู่ที่ 19Mbps เท่านั้น แต่ตัวเกมก็เล่นไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีการสะดุดหรือกระตุกใด ๆ ที่ทำให้ฉันหงุดหงิด เนื่องจากความเร็วและเครือข่ายที่ยอดเยี่ยมของ PrivateVPN การค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่มี Ping ต่ำจึงเป็นเรื่องง่าย ดังนั้นฉันเลยไม่เคยพบกับการกระตุกที่น่ารำคาญใจเลยขณะเล่นเกม

สกรีนช็อตของการจับคู่ Counter-Strike ในขณะที่ PrivateVPN เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในออสเตรเลีย

เซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN ในออสเตรเลียให้ฉันเล่น Counter-Strike ออนไลน์ได้โดยปราศจากการกระตุก

นอกจากนี้ฉันยังชอบที่ฉันสามารถเล่นเกมออนไลน์อย่าง Call of Duty: Warzone ด้วย PrivateVPN ได้โดยไม่เสี่ยงที่จะถูกควบคุมปริมาณการใช้งาน การควบคุมปริมาณการใช้งานจาก ISP – หรือการลดลงชั่วคราว – ความเร็วของเครือข่ายตอนที่ผู้ใช้ใช้แบนด์วิดธ์มากเกินไปและเกมเมอร์มักตกเป็นเป้าหมายเป็นประจำ แบบทดสอบการรั่วไหล DNS ของฉันเปิดเผยให้เห็นว่า PrivateVPN สามารปิดบังกิจกรรมการเล่นเกมของฉันได้สำเร็จโดยการหลีกเลี่ยงการควบคุมปริมาณความเร็วที่อาจเกิดขึ้นใด ๆ

ความสำคัญของความเร็วและสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือก VPN?

ความเร็วถือเป็นปัจจัยที่สำคัญเมื่อเลือก VPN ซึ่งความเร็วในการใช้ VPN จะมาพร้อมกับค่าใช้ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามยิ่ง VPN มีความเร็วมากเท่าใด คุณยิ่งจะสามารถเข้าใกล้ความเร็วสูงสุดของเน็ตเวิร์คของคุณได้มากเท่านั้น เวลา Ping มีความสำคัญเทียบเท่ากับความเร็วในการดาวน์โหลด/อัพโหลดสำหรับการสตรีมมิ่ง เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับความเร็วในการรับข้อมูล เวลา ping ที่น้อยกว่าและแบนด์วิธในการดาวน์โหลดที่สูงจะช่วยให้การสตรีมมิ่งเป็นไปได้อย่างไม่มีสะดุด การใช้เวลาในการเชื่อมต่อที่สั้นกว่าจะช่วยป้องกันความวุ่นวาย ส่วนการเชื่อมต่อที่เสถียรถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสตรีมมิ่งหรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ

เซิร์ฟเวอร์

- 9.0 / 10

เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์

เครือข่ายของ PrivateVPN มีเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 200 เซิร์ฟเวอร์ใน 63 ประเทศ – ซึ่งน้อยกว่า VPN ระดับชั้นนำอยู่มาก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ แต่รายการทีมีให้บริการนั้นก็เพิ่มขึ้นเสมอ – ฉันพบเซิร์ฟเวอร์ใหม่มากมายถูกเพิ่มเข้ามาในช่วงหลายปีมานี้ นอกจากนี้ฉันยังพบรายการเมนูเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้แสดง 200 ตัวเลือกส่วนบุคคลเสมอไป ดังนั้นฉันจึงติดต่อฝ่ายสนับสนุน เจ้าหน้าที่บอกฉันว่าบางตำแหน่งมีเซิร์ฟเวอร์มากมาย แต่แอปจะเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่รวดเร็วที่สุดในตำแหน่งที่คุณเลือกให้โดยอัตโนมัติ

มีแท็บเมนูเซิร์ฟเวอร์สองแท็บ “เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด” และ “IP เฉพาะ” ถือเป็นเรื่องดีที่มีทั้งสองตัวเลือกเนื่องจาก IP เฉพาะอนญาตให้คุณเชื่อมต่อด้วยหมายเลข IP ที่ไม่เหมือนใครได้ในแต่ละครั้ง ไม่เพียงแต่สิ่งนี้จะทำให้การเว็บไซต์สตรีมมิ่งตรวจจับเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ว่าเป็นเส้นทางการเข้าชมผ่าน VPN ได้ยากเท่านั้น แต่การใช้หมายเลข IP ใหม่ทุกครั้งทำให้การติดตามแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทางออนไลน์ การที่ไม่มีผู้ใช้คนอื่นใช้หมายเลข IP เดียวกันช่วยให้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้รวดเร็วมาก ๆ – ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเล่นเกม สตรีมมิ่งหรือแชทผ่านวิดีโอหรือแค่ต้องการใช้หมายเลข IP ที่ปลอดภัยที่ไม่เหมือนใคร ฉันก็ขอแนะนำให้ใช้มันทุกเมื่อที่ต้องการ

สกรีนช็อตของเมนูเซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะของ PrivateVPN ใน Windows

คุณสามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะของ PrivateVPN ได้จาก 15 ตำแหน่งในประเทศต่าง ๆ 14 ประเทศ

ที่ดีไปกว่านั้นคือ PrivateVPN เป็นเจ้าของและเปิดให้บริการเซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะทั้งหมด สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้กับคุณเพราะมันหมายความว่าคุณไม่ต้องเชื่อว่าบริษัทเซิร์ฟเวอร์บุคคลที่สามจะปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดของ PrivateVPN ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ PrivateVPN แทบไม่มีข้อมูลใด ๆ ภายในแอปหรือทางออนไลน์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของการใช้เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะเลย มันเป็นส่วนเสริมที่ดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าอายที่บริษัทไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยให้ผู้เริ่มต้นเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการใช้งานมันให้มากกว่านี้

ด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่เล็กกว่าผู้ให้บริการ VPN ชั้นนำมาก ฉันจึงกลัวว่าเซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN อาจหนาแน่นได้ การที่เซิร์ฟเวอร์หนาแน่นจะทำให้ความเร็วลดลงเนื่องจากผู้ใช้มากมายถูกบังคับให้แบ่งปันแบนด์วิดธ์ที่มีอยู่อย่างจำกัดมากขึ้น แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจฉันไม่เคยพบกับความเร็วที่ช้าลงเพราะความหนาแน่นขณะที่เชื่อมต่อกับ PrivateVPN เลย อัตราเซิร์ฟเวอร์ต่อตำแหน่งสูงเสนอความยืดหยุ่นที่มากกว่าหากคุณต้องการปิดบังตำแหน่งของคุณ ดังนั้นฉันจึงดีใจที่ PrivateVPN กำลังเพิ่มเซิร์ฟเวอร์ในเครือข่ายของตนอยู่ตลอด

หากคุณต้องการใช้ VPN ที่มีตัวเลือกเซิร์ฟเวอร์นับพัน ฉันพบตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วสูงมากมายตอนที่ฉันทดสอบ ExpressVPN เครือข่ายของพวกเขามีขนาดใหญ่กว่ามาก (มากกว่า 3000 เซิร์ฟเวอร์ใน 105 ประเทศ) และสามารถเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งหลักอื่น ๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถลองใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งของ ExpressVPN โดยไม่ต้องเอาเงินของคุณไปเสี่ยงได้อีกด้วยเนื่องจากการสมัครสมาชิกทั้งหมดนั้นมีการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน

การสนับสนุน Tor

ฉันไม่พบปัญหาในการท่องเว็บไซต์ Onion บนเบราว์เซอร์ Tor ด้วย PrivateVPN เลย แม้ว่า Tor จะใช้การเข้ารหัสเพื่อซ่อนข้อมูลแล้ว แต่การเพิ่มการป้องกัน VPN จะทำให้คุณปลอดภัยมากขึ้นจากภัยคุกคามเว็บมือ แค่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ เปิดเบราว์เซอร์ Tor และเข้าถึง URL ที่คุณเลือก

แม้ว่าเครือข่าย Onion จะช้าอยู่แล้วเนื่องจากการเข้ารหัสและโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร แต่ฉันก็ไม่สังเกตเห็นความเร็วที่ช้าลงมากขึ้นขณะที่เชื่อมต่อด้วย PrivateVPN แม้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพที่ดีกับ Tor แต่ VPN อื่น ๆ มีเซิร์ฟเวอร์ “Onion over VPN” ที่ให้คุณเข้าถึงเว็บไซต์ Onion ได้โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ทั่วไป ตัวอย่างเช่นคุณสามารถลองใช้ ExpressVPN เพื่อเยี่ยมชมเว็บไซต์ Onion ได้โดยไม่ต้องดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เพิ่มเติม – แค่ใช้เว็บเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ตามปกติเพื่อเข้าถึงเว็บมืด

PrivateVPN เหมาะสำหรับการ Torrenting? (ใช่)

เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดของ PrivateVPN รองรับ torrenting บนไคลเอนต์ P2P เช่น BitTorrent มันยังมีแม้กระทั่งคำแนะนำในการดาวน์โหลด Torrents บนเว็บไซต์ของ PrivateVPN พร้อมเคล็ดลับที่มีประโยชน์ในการเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยของคุณ

ฉันใช้เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะในนิวยอร์กเพื่อดาวน์โหลดไฟล์ขนาด 2GB และประทับใจที่มันใช้เวลาเพียง 10 นาทีโดยมี peer seeding 5-7 คน โดยปกติแล้วคุณจะต้องมี peers แบ่งปันไฟล์ขนาดเล็ก ๆ มากกว่านี้เพื่อความเร็วที่รวดเร็ว แต่เครือข่ายที่รวดเร็วของ PrivateVPN สามารถทำเรื่องนั้นได้

แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็จะไม่ Torrent บนเซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN ในประเทศที่มีกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่ย่ำแย่ (เช่น ฮ่องกงหรือสหรัฐอเมริกา) แต่ให้เชื่อมต่อกับประเทศที่เป็นมิตรกับความเป็นส่วนตัวอย่างสวีเดน (แนะนำโดย PrivateVPN), สวิตเซอร์แลนด์, โรมาเนียหรือโปแลนด์เพื่อความสบายใจว่าข้อมูลของคุณจะคงเป็นความลับ เซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะในตำแหน่งเหล่านี้นั้นถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะเนื่องจากบุคคลที่สามสามารถติดตามมันได้ยาก เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ IP เฉพาะทั้งหมดมีพอร์ตเปิดเอาไว้โดยค่าเริ่มต้น พวกมันจึงได้รับการปรับแต่งเพื่อการดาวน์โหลด Torrent ที่รวดเร็วเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แค่อย่าลืมว่าห้ามใช้ VPN กับเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์บนเว็บไซต์ Torrent แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าของไฟล์ แต่มันก็ไม่มีความจำเป็นทางกฎหมายที่จะต้องแบ่งปันมัน

ฉันพบประโยคที่น่ากังวลในนโยบายความเป็นส่วนตัวของ PrivateVPN ที่ระบุว่ามันจะแบ่งปันข้อมูลของคุณกับเจ้าหน้าที่หากมีหมายศาล เนื่องจากการดาวน์โหลดเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ฉันจึงดีใจที่ได้รู้ว่า PrivateVPN มีนโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน คุณไม่ควร Torrent เนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย VPN แต่ฉันก็รู้สึกปลอดภัยกับ PrivateVPN แม้ว่าการละเมิดโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นอาจทำให้คุณต้องรับผิดตามกฎหมายได้

PrivateVPN ทำงานในประเทศจีนได้ไหม? (ได้)

นอกจาก ExpressVPN และ Astrill VPN แล้ว PrivateVPN ก็เป็นหนึ่งใน VPN ชั้นนำจำนวนไม่มากที่ทำงานในประเทศจีนและประเทศที่มีข้อจำกัดอื่น ๆ ได้ โดยการเปิดใช้งาน Obfuscation (Stealth VPN) PrivateVPN มีเซิร์ฟเวอร์มากมายที่อยู่ใกล้กับจีนแผ่นดินใหญ่ – เช่น เซิร์ฟเวอร์ในฮ่องกง ไต้หวันและโตเกียว – ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะชะลอความเครือข่ายของคุณมากจนเกินไป

สกรีนช็อตของตัวเลือก Stealth VPN ในเมนูการตั้งค่าของ PrivateVPN

การตั้งค่า Obfuscation ของ PrivateVPN ให้คุณสามารถใช้งานมันได้แม้ในประเทศจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และประเทศที่มีการเข้มงวดเกี่ยวกับเว็บไซต์อื่น ๆ

Stealth VPN ใช้พร็อกซี Shadowsocks ที่เข้ารหัส แต่มันก็ไม่ใช่รูปแบบของ Obfuscation ที่พึ่งพาได้มากที่สุดเพราะ Shadowsocks สามารถถูกปิดกั้นได้ง่าย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงยังคงแนะนำผู้ให้บริการที่แข็งแกร่งมากกว่าอย่าง ExpressVPN ซึ่งใช้เทคโนโลยี Obfuscation อันเป็นเอกสิทธิ์ของพวกเขาเองเพื่อให้สิทธิ์ในการเปิดเว็บในประเทศจีนได้อย่างน่าเชื่อถือและไม่เปิดเผยตัวตน

แค่อย่าลืมตรวจสอบให้มั่นใจว่าได้ติดตั้ง PrivateVPN ตอนที่คุณยังอยู่ที่บ้านแล้วเนื่องจากเว็บไซต์ VPN นั้นถูกปิดกั้นในประเทศจีน นอกจากนี้อย่าลืมตรวจสอบกฎหมายก่อนที่คุณจะเดินทาง – แม้ว่ารัฐบาลจีนจะไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของการไล่ล่าผู้ใช้ VPN แต่ VPN ที่ไม่ได้รับการอนุมัติโดยรัฐบาลนั้นผิดกฎหมายในประเทศจีนและฉันไม่เห็นด้วยกับการทำผิดกฎหมาย

ความปลอดภัย

การเข้ารหัสระดับทหาร

โปรโตคอลเข้ารหัสชั้นนำนั้นจำเป็นสำหรับการปิดบังข้อมูลความลับของคุณจากอาชญากรทางไซเบอร์และการสอดแนมของรัฐบาล PrivateVPN ใช้การเข้ารหัสระดับทหาร ฤฎฆ 256-บิต เช่นเดียวกันกับคีย์ SHA256 และ 2,048-บิตสำหรับการยืนยันตัวตน นี่เป็นระบบการเข้ารหัสขั้นสูงที่สุดที่มีให้บริการ – PrivateVPN ทำให้แฮกเกอร์แทบจะไม่สามารถถอดรหัสการพูดคุยของคุณโดยใช้กำลังได้เลย

โปรโตคอล VPN

PrivateVPN มีค่าเริ่มต้นเป็น OpenVPN ด้วยโปรโตคอล UDP – มันเป็นที่รู้จักในเรื่องของความเร็ว ความปลอดภัยและความเข้ากันได้ที่กว้างขวาง ตัวเลือกของโปรโตคอล Tunneling ฉบับเต็ม ได้แก่:

  • OpenVPN over TCP น่าไว้วางใจมากกว่า OpenVPN UDP และทำงานร่วมกับเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้มากกว่า หากเว็บไซต์ไม่ยอมโหลดขณะที่เชื่อมต่อกับ OpenVPN TCP ให้ลองเปลี่ยนเป็น UDP
  • L2TP/IPsec โดยปกติแล้วจะผสมผสานกันเพราะ L2TP ไม่มีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่งในตัวเอง มันมีความปลอดภัยที่ดีกว่า PPTP (โปรโตคอลรุ่นล้าสมัยกว่า) แต่ความเร็วช้ากว่า OpenVPN นี่เป็นโปรโตคอลยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์ iOS เนื่องจากความเข้ากันได้
  • PPTP เป็นที่ล้าสมัยและเก่าที่ยังคงมีประโยชน์ในบางโอกาสหากคุณต้องการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการหรืออุปกรณ์มือถือที่ล้าสมัย มันรวดเร็ว แต่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้สำหรับกิจกรรมทางออนไลน์ที่มีความเสี่ยง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมาะสำหรับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำที่ต้องการความเร็วสูง (เช่น การสตรีมมิ่ง)
  • IKEv2 เป็นที่นิยมบนอุปกรณ์มือถือ iOS และ Android เนื่องจากมันได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รักษาการเชื่อมต่อ VPN ของคุณเอาไว้ให้ราบรื่นแม้ในขณะที่อุปกรณ์เปลี่ยนระหว่างข้อมูลเซลลูลาร์และ WiFi ความท้าทายนี้ไม่เหมือนใครสำหรับอุปกรณ์มือถือ ดังนั้น IKEv2 จึงได้รับการพัฒนาเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการนี้ การป้องกันการรั่วไหล – ป้องกันฉันจากการรั่วไหล DNS, WebRTC และ IPv6

PrivateVPN ป้องกันหมายเลข IP ที่แท้จริงของฉันได้สำเร็จตอนที่ฉันทดสอบมันกับประเภทการรั่วไหลทั่วไป แม้จะมีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง แต่การรั่วไหลก็สามารถเกิดขึ้นได้ VPN ที่มีขนาดเล็กไม่สามารถป้องกันการรั่วไหลประเภทต่าง ๆ ได้ดีนักซึ่งทำให้คุณตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนว่าคุณเป็นใครต่อผู้ดูแลเว็บไซต์และบุคคลที่สามรายอื่น ๆ

บททดสอบแรกสำหรับการรั่วไหล DNS ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่คำขอข้อมูลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแทนที่จะไปผ่าน VPN ตอนที่ฉันดำเนินการทดสอบ ฉันพบเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่แท้จริงของฉันแทนที่จะเป็นเซิร์ฟเวอร์ PrivateVPN ในสวีเดนที่ฉันเชื่อมต่อ หลังจากที่ลองผิดลองถูก ฉันก็พบว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะการตั้งค่าเครือข่าย Firefox ของฉัน การตั้งค่า DNS over HTTPS ของ Firefox ป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่สามารถบิดเบือนผลการทดสอบ DNS ขณะที่คุณเชื่อมต่อกับ VPN ได้

สกรีนช็อตของ Exchange พร้อมการสนับสนุน PrivateVPN ซึ่งช่วยในเรื่องการตรวจจับ DNS

ฉันสังเกตเห็นเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งที่แท้จริงของฉันระหว่างการทดสอบการรั่วไหลและฝ่ายสนับสนุนของ PrivateVPN ก็สามารถแก้ไขปัญหาของฉันได้อย่างง่ายดาย

หลังจากการปิดใช้งานการตั้งค่า Firefox แล้ว ฉันก็ดำเนินการทดสอบอีกครั้งและตำแหน่งที่แท้จริงของฉันก็ถูกปิดบังไว้ได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคิดว่ามันแปลกที่การทดสอบการรั่วไหลนั้นเปิดเผยเซิร์ฟเวอร์รีเลย์ในเยอรมนีแทนที่จะเป็นสวีเดน (ที่ที่ฉันเชื่อมต่อ)

สกรีนช็อตของการทดสอบการรั่วไหลของ DNS เผยให้เห็นเซิร์ฟเวอร์ DNS ในเยอรมนีในขณะที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ PrivateVPN ในสวีเดน

การทดสอบการรั่วไหล DNS แสดงให้เห็นว่า PrivateVPN ปิดบังหมายเลข IP ที่แท้จริงของฉันเอาไว้หลังเซิร์ฟเวอร์ในเยอรมนี

ฝ่ายสนับสนุนอธิบายว่านี่เป็นเพราะเซิร์ฟเวอร์ในยุโรปตะวันตกของ PrivateVPN เปลี่ยนเส้นทางคำขอ DNS ไปผ่านเซิร์ฟเวอร์รีเลย์ในเยอรมนี เจ้าหน้าที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในสวีเดนจริง ๆ ไม่ใช่เซิร์ฟเวอร์เสมือน นอกจากนี้รายการเซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าตำแหน่งใดที่เป็นเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริง

แม้ว่าสิ่งนี้จะสร้างความมั่นใจได้ แต่มันก็มาพร้อมกับความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ในฐานะทางเลือก ExpressVPN เสนอ DNS ที่เป็นส่วนตัวในเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าคำขอ DNS ของคุณจะไม่มีวันถูกแบ่งปันกับบุคคลที่สาม

นอกจากนี้ฉันยังโล่งใจที่ได้เห็นว่าการป้องกันการรั่วไหล IPv6 ของ PrivateVPN ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการปิดบังหมายเลข IP ของคุณ ด้วยการเปิดใช้งาน IPv6 บางครั้งข้อมูลของคุณอาจรั่วไหลไปยัง ISP ของคุณหรือบุคคลที่สามได้ตอนที่คุณใช้ VPN เพราะ VPN ส่วนใหญ่ยังไม่รองรับ IPv6 ฉันดำเนินการทดสอบการรั่วไหลของ IPv6 ขณะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN ในแฟรงก์เฟิร์ตและผลลัพธ์ก็ยืนยันว่าหมายเลข IP ของฉันไม่เคยถูกรุกล้ำ

สกรีนช็อตของการทดสอบการรั่วไหลของ IPv6 ที่ประสบความสำเร็จในขณะที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ PrivateVPN ในเยอรมนี

ฉันไม่พบการรั่วไหล IPv6 ขณะเชื่อมต่อกับ PrivateVPN ซึ่งหมายความว่า IP ที่แท้จริงของฉันถูกปิดบังเอาไว้

นอกจาก DNS, IPv6 และการรั่วไหลของ IP ตามมาตรฐานแล้ว ฉันยังได้ทดสอบการรั่วไหลของ WebRTC ด้วยเช่นกัน การส่งสัญญาณ WebRTC บ่อยครั้งมักเป็นการออกอากาศภายนอกอุโมงคื VPN ที่เข้ารหัสซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วไหลของตำแหน่งและหมายเลข IP นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงประหลาดใจที่ PrivateVPN ผ่านการทดสอบการรั่วไหลของ WebRTC ทั้งหมดทุกอันที่ฉันดำเนินการบนเดสก์ท็อป Windows, Android หรือ iOS ของฉัน ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่า PrivateVPN สามารถดูแลข้อมูลและกิจกรรมทางออนไลน์ของฉันให้ปลอดภัยได้จริง ๆ

Kill Switch – ป้องกันความเป็นส่วนตัวระหว่างการขาดการเชื่อมต่อ

Kill Switch เป็นฟังก์ชันความปลอดภัย VPN ที่สำคัญ หากคุณประสบกับเซิร์ฟเวอร์ล่มอย่างคาดไม่ถึง ไฟตกหรือการขาดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ได้ตั้งใจ หมายเลข IP และตำแหน่งของคุณอาจถูกเปิดเผยได้ในเสี้ยววินาที Kill Switch ของ PrivateVPN ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยมันเปิดใช้งานตอนที่ PC ของฉันอยู่ในโหมดหลับเพื่อที่ข้อมูลของฉันจะได้ไม่ถูกเปิดระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวตอนที่ไม่ได้เชื่อมต่อ VPN

สกรีนช็อตของกล่องโต้ตอบสวิตช์ฆ่าอินเทอร์เน็ต VPN ส่วนตัว

ฉันขาดการเชื่อมต่อจากการที่ PC ของฉันเข้าสู่โหมดหลับ Kill Switch ของ PrivateVPN ดูแลให้ข้อมูลของฉันไม่รั่วไหล

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Application Guard” ซึ่งช่วยให้คุณปรับใช้ Kill Switch กับแอปที่เฉพาะเจาะจงได้ นี่เป็นฟังก์ชันที่มีประโยชน์หากคุณใช้แอปต่าง ๆ มากมายในเวลาเดียวกันและไม่อยากให้แอปทั้งหมดนั้นได้รับการป้องกันจาก VPN

Split Tunneling – ไม่มีวิธีในการแยกแอปและเว็บไซต์จากการเชื่อมต่อ VPN

หลังจากค้นพบ Application Guard ฉันก็ประหลาดใจที่ PrivateVPN ไม่มี Split Tunneling Split Tunneling เป็นฟีเจอร์ทั่วไปที่อนุญาตให้ผู้ใช้ยกเว้นแอปที่เฉพาะเจาะจงจากการเชื่อมต่อ VPN และมีประโยชน์หากอุปกรณ์ของคุณถูกควบคุมผ่าน WiFi เช่น เครื่องพิมพ์ไร้สาย คุณยังสามารถมั่นใจได้ถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงเนื้อหาในท้องถิ่นขณะเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ VPN ในประเทศอื่นด้วย

เพื่อยกเว้นแอปที่เฉพาะเจาะจงจากการเชื่อมต่อ VPN ของคุณด้วย Split Tunnel คุณจะต้องใช้รายการที่อนุญาตในบริการอื่นอย่าง ExpressVPN สิ่งนี้ช่วยให้คุณปรับแต่งว่าโปรแกรมใดบ้างที่จะเชื่อมต่อผ่านอุโมงค์ VPN เพื่อที่คุณจะได้สามารถ Torrent, ตรวจสอบสภาพอากาศและใช้การธนาคารออนไลน์ของคุณทั้งหมดได้ในคราวเดียวโดยไม่ต้องแทรกแซง VPN

ไม่มีตัวบล็อกโฆษณาหรือมัลแวร์

PrivateVPN มีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่มีประโยชน์มากมาย แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีตัวบล็อกมัลแวร์และโฆษณาภายในตัว สำหรับเรื่องนี้ คุณจะต้องมองหา VPN ที่มีราคาสูงกว่าเล็กน้อยอย่าง CyberGhost ระหว่างการทดสอบของฉัน CyberGhost ปิดกั้น URL ที่เป็นอันตรายและป้องกันอุปกรณ์ของฉันโดยอัตโนมัติ แถมมันยังมีฐานข้อมูลภัยคุกคามมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่ได้รับการอัปเดตเป็นประจำด้วย

ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว

นโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน – PrivateVPN สาบานว่าจะไม่มีวันบันทึกข้อมูลใด ๆ

นโยบายความเป็นส่วนตัวของ PrivateVPN นั้นชัดเจนมาก: มันจะไม่มีวันบันทึกข้อมูลใด ๆ ของคุณ เช่น คุณคือใคร เว็บไซต์ที่คุณเยี่ยมชม ระยะเวลาที่เชื่อมต่อและเชื่อมต่อตอนไหนหรือข้อมูลอื่นใด แม้ว่าจะไม่มี VPN ใดที่มีเสรีภาพในการปฏิเสธในการให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่โดยสมบูรณ์ แต่บริการที่จริงจังกับความเป็นส่วนตัวของคุณนั้นจะไม่มีบันทึกที่สามารถเปิดเผยได้ตั้งแต่แรก

สกรีนช็อตของนโยบายความเป็นส่วนตัวของ PrivateVPN บนเว็บไซต์

PrivateVPN สาบานว่าไม่เก็บข้อมูลใด ๆ ของคุณในนโยบายความเป็นส่วนตัว

เขตอำนาจศาลของบริษัท – ตั้งอยู่ในสวีเดนที่เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว (แต่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ)

บริษัทแม่ของ PrivateVPN คือ Privat Kommunikation Sverige AB ตั้งอยู่ในโซเลนทูนา สวีเดนยกเว้น VPN จากกฎหมายการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งทำให้มันมีความเป็นมิตรต่อ VPN มากกว่าประเทศทางฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร Fourteen Eyes – ข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลระหว่างสวีเดีนและรัฐบาลอื่น ๆ ที่ร่วมเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ข่าวดีคือ VPN ที่ไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานอย่างนโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานของ PrivateVPN จะดูแลให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยจากข้อตกลงระหว่างประเทศที่รุกล้ำ

การตรวจสอบจากบริษัทอิสระ – ไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยจากบุคคลที่สาม

น่าเสียดาย แต่ PrivateVPN ไม่เคยได้รับการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม การตรวจสอบอิสระที่ดำเนินการบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นจะแสดงให้เห็นว่าแนวทางการปฏิบัติด้านความปลอดภัย การจัดการข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์ของ VPN นั้นจะสามารถดูแลให้ข้อมูลของคุณเป็นส่วนตัวและปลอดภัยได้ไหม

VPN ชั้นนำสองสามบริการได้รับการตรวจสอบดังกล่าว แต่เนื่องจากการตรวจสอบเหล่านี้มีค่าใช้จ่าย ผู้ให้บริการขนาดเล็กกว่าจำนวนมากจึงไม่อยากดำเนินการตรวจสอบนี้ หากคุณต้องการบริการที่มีนโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ให้ลองใช้ ExpressVPN – แนวทางการปฏิบัติด้านความปลอดภัยของพวกเขาได้รับการพิสูจน์ในสถานการณ์จริงแล้วซึ่งรวมถึงการเข้ายึดครองเซิร์ฟเวอร์จากเจ้าหน้าที่ตุรกี เนื่องจากแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องการบันทึกข้อมูลของ ExpressVPN ตำรวจจึงไม่พบข้อมูลของผู้ใช้ใด ๆ

ตำแหน่งของเซิฟเวอร์

กรีซ
คอสตาริกา
ชิลี
นอร์เวย์
นิวซีแลนด์
บราซิล
บัลแกเรีย
ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศมาเลเซีย
ประเทศลิธัวเนีย
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ประเทศอังกฤษ
ประเทศเยอรมัน
ประเทศไซปรัส
ประเทศไทย
ดูตำแหน่งที่รองรับทั้งหมด...