ความเร็ว | 8.0 / 10 |
เซิร์ฟเวอร์ | 7.0 / 10 |
เป็นมิตรต่อผู้ใช้ | 8.0 / 10 |
บริการลูกค้า | 7.5 / 10 |
ราคา | 7.5 / 10 |
Hotspot Shield รีวิว 2024: สมควรซื้อหรือเปล่า?
ภาพรวม Hotspot Shield 2024
Hotspot Shield ดึงดูดความสนใจของฉันครั้งแรกในปี 2010 ตอนที่ผู้คนสามารถแชร์ข้อมูลและหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลด้วยโปรแกรม VPN ในช่วงอาหรับสปริงได้อย่างอิสระ เมื่อพิจารณาถึงว่าเวลานั้นผ่านไปนานสิบปีแล้ว ฉันจึงอยากทดลอง Hotspot Shield ด้วยตัวเองเพื่อดูว่ามันยังคงทำงานได้ดีอยู่ไหม ฉันดำเนินการทดสอบฟีเจอร์ของ Hotspot Shield มากมายและค้นหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ฉันสนใจความสามารถในการสตรีมมิ่ง ความเร็ว ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของ Hotspot Shield และเวอร์ชันฟรีทำงานได้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับเวอร์ชันแบบชำระเงินเป็นพิเศษ จากการทดสอบของฉัน ฉันประทับใจกับความเร็วและความง่ายในการใช้งาน แต่ข่าวลือเรื่องความเป็นส่วนตัวในอดีตนั้นยังคงน่าเป็นกังวล
Hotspot Shield แสนใจดีให้คุณได้ทดลองใช้งานฟรี 45 วันด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน นี่หมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องเชื่อในผลการทดสอบของฉัน — คุณสามารถดำเนินการทดสอบมันด้วยตัวคุณเองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อได้ อย่างไรก็ตามหากหลังจากที่อ่านรีวิวนี้แล้วคุณต้องการโปรแกรมอื่นที่มอบความคุ้มค่าให้กับเงินได้มากกว่าลองใช้ CyberGhost ดูสิ!
ไม่มีเวลาอ่านใช่ไหม? นี่คือบทสรุปฉบับย่อ (ใช้เวลาอ่าน 1 นาที)
- ปลดบล็อก Netflix และบริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ ได้ ฉันสามารถปลดบล็อก Netflix, Hulu, Disney+, HBO Max, BBC iPlaye และอื่น ๆ ได้ ดูว่าฉันสามารถปลดบล็อกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใดได้บ้าง
- ความเร็วที่รวดเร็วด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ฉันได้รับความเร็วมากกว่า 130Mbps ตอนที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุดและเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้นก็สามารถมอบความเร็วสำหรับการสตรีมมิ่งความคมชัดระดับ 4K ได้ ดูผลการทดสอบความเร็ว
- ฟีเจอร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง Hotspot Shield มอบฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับความปลอดภัยทางออนไลน์ที่ดีด้วยโปรโตคอลเข้ารหัสที่มีประสิทธิภาพสูง, Kill Switch และการป้องกันการรั่วไหล ข้ามไปยังส่วนความปลอดภัย
- มีการบันทึกข้อมูลบางส่วน แม้ว่า Hotspot Shield จะปฏิเสธว่าไม่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลบันทึกใด ๆ ตามหมายเลข IP ที่แท้จริงของคุณ แต่มันก็ยังเก็บรวบรวมข้อมูลใช้บางส่วนเพื่อการวิเคราะห์ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Hotspot Shield
- อาจใช้งานในประเทศจีนได้ (ไม่ได้รับการทดสอบ) คุณอาจสามารถใช้ Hotspot Shield เพื่อเข้าถึงเนื้อหาที่มีให้บริการนอกประเทศจีนได้ ดูว่า Hotspot Shield ทำงานในประเทศจีนได้ไหม
- รองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมายในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ฉันเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน 5 อุปกรณ์ ความเร็วและการเชื่อมต่อของฉันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมตอนที่ฉันใช้งานแค่ 1 อุปกรณ์ ตรวจสอบดูว่าพวกเขารองรับอุปกรณ์ใดบ้าง
- ตัวเลือกฟรีและพรีเมียม แผนให้บริการฟรีนั้นมีการจำกัดข้อมูลการใช้งาน คุณภาพการสตรีมมิ่งและมีโฆษณา ดูตัวเลือกราคาทั้งหมด
ดาวน์โหลด Hotspot Shield เลยตอนนี้!
Hotspot Shield Premium ปลดบล็อก Netflix, Hulu, Disney+, HBO และ BBC iPlayer ได้ (แต่ไม่สามารถเข้าถึง Amazon Prime Video ได้)
แม้ว่า Hotspot Shield จะอ้างว่ารองรับเฉพาะ Netflix และ Hulu เท่านั้นบนเว็บไซต์ แต่เวอร์ชันพรีเมียมนั้นสามารถปลดบล็อกบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมต่าง ๆ ได้ในระหว่างการทดสอบ ฉันสามารถเข้าถึง Netflix (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เยอรมนี ญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ), Hulu, Disney+ (สหรัฐอเมริกาและแคนาดา), HBO Max, HBO NOW, BBC iPlayer และ UKTV ได้
น่าเสียดายที่เวอร์ชันฟรีของ Hotspot Shield ไม่สามารถปลดบล็อกบริการสตรีมมิ่งใด ๆ เหล่านี้หรือช่วยให้ฉันหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการสตรีมมิ่ง Netflix ได้
Netflix: ปลดบล็อกได้
Hotspot Shield เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการปลดบล็อกแคตตาล็อก Netflix มากมาย การโหลดในแต่ละเซิร์ฟเวอร์ที่ฉันทดสอบนั้นรวดเร็ว แม้แต่เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย (ซึ่งอยู่ห่างไกลจากฉันมากที่สุด) ฉันสามารถเข้าถึงคลังข้อมูลของ Netflix ในประเทศต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ได้:
- สหรัฐอเมริกา
- แคนาดา
- เยอรมนี
- ออสเตรเลีย
- ญี่ปุ่น
หลังจากใช่เวลาโหลดเพียง 15 วินาที ฉันก็สามารถรับชม Dark ด้วยเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาในความคมชัดระดับ Full HD ได้ นอกจากความล่าช้าเพียงเล็กน้อยดังกล่าวแล้ว ฉันก็สามารถสตรีมได้อย่างง่ายดาย (จนฉันประหลาดใจ)
น่าเสียดายที่มันสามารถโหลดแคตตาล็อกของสหราชอาณาจักรที่ถูกต้องได้และแสดงหน้าแรกของ Netflix ทั่วไปซึ่งไม่ได้รับการแปลภาษาเฉพาะสำหรับประเทศที่เฉพาะเจาะจง ในฐานะที่ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเรื่องราวสุดฮาของอังกฤษ ฉันจึงผิดหวังที่ฉันไม่สามารถรับชมรายการพิเศษใด ๆ ของสหราชอาณาจักรได้
รับชม Netflix ด้วย Hotspot Shield
Hulu: ปลดบล็อกได้
เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาของ Hotspot Shield สามารถปลดบล็อก Hulu ได้อย่างน่าเชื่อถือ ตอนที่ฉันลองรับชม Palm Springs มันใช้เวลา 2 นาทีในการเพิ่มความคมชัดเป็น HD โดยสมบูรณ์ แม้ว่านี่จะเป็นประสบการณ์ที่นานที่สุดที่ฉันเคยพบเมื่อเทียบกับโปรแกรม VPN อื่น ๆ แต่มันก็เสถียรตลอดทั้งเรื่อง
รับชม Hulu ด้วย Hotspot Shield
Disney+: ปลดบล็อกได้
หลังจากที่ทดสอบเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ จำนวน 12 เซิร์ฟเวอร์ ฉันก็สามารถเข้าถึง Disney+ ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาทั้งหมดได้ ยกเว้น 2 เซิร์ฟเวอร์ การสตรีมใช้เวลาโหลดน้อยกว่า 10 วินาทีและคุณภาพก็เพิ่มเป็น Full HD ใน 20 วินาที — แม้ในตอนที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในประเทศที่ห่างไกลจากฉันก็ตาม
สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานไม่ได้ หน้าลงชื่อเข้าใช้ของ Disney+ จะโหลดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ หลังจากที่นั่งรอ 4 นาที ฉันก็ยอมแพ้ อย่างไรก็ตามด้วยเซิร์ฟเวอร์ในประเทศที่มี Disney+ ให้บริการมากมายให้เลือกสรร คุณน่าจะสามารถเชื่อมต่อได้หลังจากที่ลองเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ดูสักสองสามครั้ง
รับชม Disney+ ด้วย Hotspot Shield
HBO Max และ HBO NOW: ปลดบล็อกได้
ตอนที่ฉันทดสอบ HBO Max และ HBO NOW ด้วย Hotspot Shield ฉันได้รับการสตรีมคุณภาพสูงและการเชื่อมต่อที่เสถียร หลังจากที่ฉันใช้ฟีเจอร์เชื่อมต่ออัตโนมัติและทดสอบการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง (แอตแลนต้า ชิคาโกและนิวยอร์ก) ฉันสามารถปลดบล็อกบริการ HBO ได้โดยไม่พบปัญหาเลย ฉันรับชม Westworld บน HBO Max และ I May Destroy You บน HBO NOW ได้หลังโหลดการสตรีมทั้งหมดภายในเวลาน้อยกว่า 10 วินาที คุณภาพการสตรีมนั้นเกือบจะเป็น Full HD แทบในทันที — เร็วกว่าบริการอื่น ๆ ที่ฉันทดสอบ
BBC iPlayer: ปลดบล็อกได้
BBC ทำให้การปลดบล็อก iPlayer ยากขึ้นอย่างต่อเนื่องและโปรแกรม VPN มากมายไม่สามารถเข้าถึงมันได้ โชคดีที่ฉันไม่พบปัญหาการปลดบล็อกแพลตฟอร์มนี้และรับชมตอนต่าง ๆ ของ What We Do ในความละเอียดสูงได้ด้วย Hotspot Shield แต่ละตอนนั้นใช้เวลาในการโหลดตอนแรกเพียง 4 วินาทีเท่านั้น
รับชม BBC iPlayer ด้วย Hotspot Shield
Amazon Prime Video: ถูกปิดกั้น
Amazon Prime Video เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหลักเพียงแพลตฟอร์มเดียวที่ฉันทดสอบแล้วแล้วพบว่า Hotspot Shield ไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แม้ว่าฉันจะสามารถลงชื่อเข้าใช้และโหลดหน้าแรกได้ แต่ฉันก็ได้รับข้อความผิดพลาดเมื่อใดก็ตามที่ฉันเลื่อนเมาส์ไปชี้ที่รูปภาพย่อ:
“Your device is connected to the Internet using a VPN or proxy service. Please disable it and try again. For more help, go to amazon.co.uk/vpn.”
“อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยใช้บริการ VPN หรือพร็อกซี กรุณาปิดใช้งานบริการดังกล่าวและลองใหม่อีกครั้ง หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรุณาไปยัง amazon.co.uk/vpn”
มีความเป็นไปได้ที่ปัจจุบัน Hotspot Shield อาจจะไม่ได้มองว่า Prime Video เป็นบริการที่สำคัญ (มันมีคำว่า “เร็ว ๆ นี้” ในหน้าสตรีมมิ่งของพวกเขา) และดังนั้นจึงพวกเขาจึงไม่ไดอัปเดตหมายเลข IP ที่ถูกปิดกั้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว
หากคุณต้องการเข้าถึง Amazon Prime Video ExpressVPN สามารถปลดบล็อกมันและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่น ๆ อีกมากมายจากทุกที่ได้อย่างง่ายดาย ฉันทดสอบ ExpressVPN กับบริการสตรีมมิ่งหลักต่าง ๆ มากมายและประทับใจกับความเร็วและคุณภาพวิดีโอที่เสถียร
ความเร็ว
- 8.0 / 10ความเร็วของ Hotspot Shield นั้นรวดเร็วสม่ำเสมอตอนที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง แต่เซิร์ฟเวอร์โดยรวมไม่ได้รวดเร็วเสมอไป ฉันได้รับความเร็ว 99Mbps จากเซิร์ฟเวอร์ในสหราชอาณาจักรและมากกว่า 130Mbps ในขณะที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในเยอรมนี — แต่เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียนั้นไม่สามารถเร็วได้ถึง 35Mbps อย่างไรก็ตามเซิร์ฟเวอร์ในออสเตรเลียนั้นเป็นเพียงเซิร์ฟเวอร์เดียวที่ทำงานได้ช้ามาก (ความเร็วอยู่ที่ 14Mbps เท่านั้น) ซึ่งทำให้กิจกรรมทางออนไลน์ของฉันถูกจำกัด การรับชมในความคมชัดระดับ 4K นั้นต้องการความเร็วอย่างน้อย 25Mbps ดังนั้นหากการสตรีมมิ่งคือเหตุผลหลักที่คุณใช้โปรแกรม VPN คุณอาจต้องการบริการที่มีความเร็วที่รวดเร็วสม่ำเสมอ (อย่าง ExpressVPN)
หากคุณต้องการตรวจสอบดูว่ามันรวดเร็วพอที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคุณหรือไม่ คุณสามารถลองใช้ Hotspot Shield 45 วันฟรีได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน
Hotspot Shield รวดเร็วพอสำหรับการเล่นเกมไหม? (เฉพาะเกมที่เล่นอย่างช้า ๆ เท่านั้น)
การเล่นเกมออนไลน์ต่าง ๆ ในขณะเชื่อมต่อกับ Hotspot Shield เป็นเรื่องที่ท้าทายเพราะฉันพบกับการดีเลย์อย่างต่อเนื่อง การมีความหน่วง (การดีเลย์ของเซิร์ฟเวอร์) ที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือสิ่งสำคัญตอนที่เล่นเกมที่ต้องเล่นอย่างรวดเร็วและค่าเฉลี่ยของ Hotspot Shield นั้นอยู่ที่ 100ms (ยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี) ซึ่งไม่เร็วมากพอ
ความหน่วงโดยเฉลี่ยของฉันใน Call of Duty โดยไม่ได้ใช้โปรแกรม VPN อยู่ที่ 58ms ซึ่งเพิ่มขึ้นมาที่ 85ms โดยเฉลี่ยตอนที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ Hotspot Shield ที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 97%) ใน Rocket League ความหน่วงของฉันโดยไม่ได้ใช้โปรแกรม VPN อยู่ที่ 34ms ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเป็น 113ms ตอนที่เชื่อมต่อ (เพิ่มขึ้น 232%) เกมยังแจ้งเตือนฉันเรื่อง “ตัวแปรความหน่วง” ในขณะที่ฉันกำลังเล่นเกมอยู่ด้วย มีการกระตุกอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Rocket League ที่ที่ความหน่วงเพิ่มขึ้นจนทำให้ฉันพลาดลูกในทั้งสองเกม
ในเกมกลยุทธ์ที่เล่นอย่างช้า ๆ คุณจะไม่สังเกตเห็นความแตกต่างอะไร อย่างไรก็ตามหากคุณเล่นเกมที่ต้องเล่นอย่างรวดเร็ว Hotspot Shield อาจไม่เร็วมากพอ
ฉันแนะนำให้คุณลองใช้ความเร็วของ ExpressVPN สำหรับการเล่นเกม มันมีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่รวดเร็วและมอบการเชื่อมต่อความหน่วงที่ต่ำมากในระหว่างการทดสอบของฉัน — เหมาะสำหรับการเล่นเกมโดยที่ไม่มีการชะลอความเร็วหรือการแทรกแซงเป็นอย่างยิ่ง
ความสำคัญของความเร็วและสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือก VPN?
ความเร็วถือเป็นปัจจัยที่สำคัญเมื่อเลือก VPN ซึ่งความเร็วในการใช้ VPN จะมาพร้อมกับค่าใช้ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามยิ่ง VPN มีความเร็วมากเท่าใด คุณยิ่งจะสามารถเข้าใกล้ความเร็วสูงสุดของเน็ตเวิร์คของคุณได้มากเท่านั้น เวลา Ping มีความสำคัญเทียบเท่ากับความเร็วในการดาวน์โหลด/อัพโหลดสำหรับการสตรีมมิ่ง เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับความเร็วในการรับข้อมูล เวลา ping ที่น้อยกว่าและแบนด์วิธในการดาวน์โหลดที่สูงจะช่วยให้การสตรีมมิ่งเป็นไปได้อย่างไม่มีสะดุด การใช้เวลาในการเชื่อมต่อที่สั้นกว่าจะช่วยป้องกันความวุ่นวาย ส่วนการเชื่อมต่อที่เสถียรถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสตรีมมิ่งหรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ
เซิร์ฟเวอร์
- 7.0 / 10เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ — เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง
Hotspot Shield มีเซิร์ฟเวอร์ให้บริการมากกว่า 3,200 เซิร์ฟเวอร์ในประเทศต่าง ๆ กว่า 80 ประเทศ — ถือเป็นจำนวนที่น่าประทับใจซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้พบกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงอย่างแน่นอน
ฉันประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดโดยสมบูรณ์ได้ภายในเวลาน้อยกว่า 5 วินาที (ซึ่งรวมถึงเซิร์ฟเวอร์ในเยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้และญี่ปุ่น) แม้กระทั่งเซิร์ฟเวอร์ในนิวซีแลนด์ (ซึ่งอยู่ห่างจากฉันถึง 17,500 กม.) — เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจจริง ๆ!
น่าเสียดายที่ไม่มีตัวเลือการเชื่อมต่อในคลิกเดียว คุณจะต้องเปิดรายการ “ตำแหน่งทั้งหมด” เลือกประเทศและเลือก “เชื่อมต่ออัตโนมัติ” หรือเลือกเมืองที่เฉพาะเจาะจง ฉันแนะนำให้เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งของคุณมากที่สุดเพื่อความเร็วสูงสุดและการดีเลย์ของเซิร์ฟเวอร์ที่น้อยที่สุด
ความปลอดภัย — พื้นฐาน
Hotspot Shield มีความปลอดภัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่ยังขาดฟีเจอร์ขั้นสูงที่โปรแกรม VPN พรีเมียมอื่น ๆ มีให้บริการอีกมาก มันมี Kill Switch พร้อมให้บริการบน Windows, macOS และ Android แต่ไม่มีให้บริการในเวอร์ชัน iOS แอปสำหรับ iOS ไม่มีตัวเลือกความปลอดภัยใด ๆ เลยเมื่อเทียบกับเวอร์ชัน Android — สิ่งนี้เป็นเรื่องที่แปลกเนื่องจากโปรแกรม VPN ส่วนใหญ่พยายามจะมอบฟีเจอร์เดียวกันในทุกอุปกรณ์
สำหรับหมายเลข IP จริงของคุณ ตอนที่คุณเชื่อมต่อ Hotspot Shield หมายเลข IP จะถูกปิดบังเอาไว้และจะไม่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ของคุณ (ซึ่งถือว่ามีประโยชน์สำหรับการ Torrenting และท่องเว็บโดยไม่เปิดเผยตัวตน) ฉันทดสอบการรั่วไหลอยู่หลายครั้งและฉันมีความสุขที่ได้เห็นว่าผู้ให้บริการนี้สอบผ่านทุกการทดสอบ
เส้นทางการเข้าชมทางออนไลน์ของคุณจะถูกเก็บเป็นความลับโดยการเข้ารหัส AES-256 ร่วมกับโปรโตคอล Catapult Hydra ของ Hotspot Shield คุณยังสามารถเลือก IKEv2 ได้แม้ว่าโปรโตคอลยอดนิยมอื่น ๆ อย่าง OpenVPN จะตกหล่นไป สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่การเข้ารหัสและโปรโตคอล VPN ทำงาน กรุณาอ่านข้อมูลที่คู่มือใช้งานโปรแกรม VPN สำหรับมือใหม่
Hotspot Shield ไม่มีเครื่องมือปิดกั้นโฆษณา การปิดบังตัวเองใน LAN (ซึ่งจะปิดบังอุปกรณ์ของคุณไม่ให้คนอื่น ๆ ในเครือข่ายเดียวกันมองเห็น) หรือเซิร์ฟเวอร์ Obfuscated เฉพาะที่สามารถใช้งานได้ในประเทศที่จำกัด หากคุณกำลังมองหาโปรแกรม VPN ที่มีฟีเจอร์ครบครันและได้รับการทดสอบอิสระ ExpressVPN เป็นตัวเลือกอันดับ #1 ของฉัน คุณสามารถลองใช้งาน ExpressVPN 30 วันได้ฟรีและเปรียบเทียบมันกับ Hotspot Shield ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกโปรแกรมที่คุณต้องการได้ นอกจากนี้ ExpressVPN ยังมีฝ่ายสนับสนุนลูกค้าพร้อมให้บริการในภาษาไทยอีกด้วย
ลองใช้ Hotspot Shield เลยวันนี้
ความเป็นส่วนตัว — นโยบายความเป็นส่วนตัวที่น่าผิดหวังและข่าวลือที่ย่ำแย่ในอดีต
Hotspot Shield มีประวัติไม่ดีเมื่อพูดถึงเรื่องความเป็นส่วนตัว ในปี 2016 มันถูกจับได้ว่าเปลี่ยนเส้นทางของผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่กำหนดและติดตั้ง JavaScript เพื่อการโฆษณาและการติดตาม หนึ่งปีถัดมากลุ่มสนับสนุนความเป็นส่วนตัว Centre for Democracy and Technology (CDT) ก็ได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการละเมิดความปลอดภัยของ Hotspot Shield ต่อ FTC
ฉันติดต่อ Hotspot Shield เกี่ยวกับข้อกังวลนี้และได้รับคำตอบดังต่อไปนี้:
Hotspot Shield ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ให้ความสำเร็จกับความเป็นส่วนตัวของโปรแกรม VPN คุณไม่สามารถชำระเงินด้วยวิธีการที่ไม่เปิดเผยตัวตนอย่างสกุลเงินดิจิทัลได้ ดังนั้นบัญชีของคุณจะเชื่อมโยงกับบัตรหรือบัญชี PayPal ของคุณ แม้ว่าบริการดังกล่าวจะอ้างว่าข้อมูลของคุณไม่เคยถูกเชื่อมโยง แต่การที่จะทราบได้ว่ามันทำอะไรกับข้อมูลของคุณบ้างนั้นก็เป็นเรื่องที่ยาก
เนื่องจาก Catapult Hydra ของ Hotspot Shield นั้นเป็นเทคโนโลยีที่พิเศษ ดังนั้นรหัสของมันจึงไม่ถูกเปิดเผยให้สาธารณชนตรวจสอบได้ (แตกต่างจากโปรโตคอลโอเพ่นซอร์สอื่น ๆ อย่าง OpenVPN) นี่หมายความว่าเราไม่สามารถทราบได้เลยว่ามันจัดการกับข้อมูลของผู้ใช้และดูแลให้เส้นทางออนไลน์ของคุณเป็นส่วนตัวได้อย่างไร
เวอร์ชันฟรีของ Hotspot Shield นั้นก็มีโฆษณาซึ่งอาจอนุญาตให้นักโฆษณาติดตามและระบุตัวตนของคุณได้ แม้ว่ามันจะกล่าวอ้างว่ามันไม่เปิดเผยตัวตนผ่านหมายเลขเฉพาะของอุปกรณ์ของคุณก็ตาม แต่ฉันก็ยังตั้งคำถามกับความซื่อสัตย์ของโปรแกรม VPN ซึ่งได้รับทุนบางส่วนจากบริษัทต่าง ๆ ที่สร้างโปรไฟล์จากฐานข้อมูลของผู้ใช้
การ Torrenting — มีการรองรับอย่างเต็มที่ด้วยความเร็วที่รวดเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด
Hotspot Shield มีการรองรับการ Torrenting อย่างมาก — Kill Switch ที่ผสานรวมและการป้องกันการรั่วไหลของ IP จะทำให้มั่นใจว่าหมายเลข IP ที่แท้จริงของคุณนั้นปลอดภัยและไม่มีวันถูกเปิดเผยในขณะที่คุณ Torrent
ฉันทดสอบสิ่งนี้โดยการดาวน์โหลดไฟล์ในขณะที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ฉันมากที่สุดและความเร็วในการดาวน์โหลดโดยเฉลี่ยของฉันอยู่ที่ 15MB ต่อวินาที (125Mbps) นี่ถือเป็นความเร็วที่รวดเร็วอย่างมากซึ่งช่วยให้ฉันดาวน์โหลดไฟล์ขนาด 4GB ได้ในเวลาเพียง 4 นาที
Torrent อย่างปลอดภัยด้วย Hotspot Shield
Hotspot Shield ทำงานในประเทศจีนได้ไหม? อาจจะได้ (แต่ฉันไม่สามารถทดสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้)
Hotspot Shield อาจทำงานในประเทศจีนได้ แม้ว่าฝ่ายสนับสนุนลูกค้าจะยืนยันว่ามันทำงานในประเทศจีนได้ แต่ฉันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือ (หรือใช้งานไม่ได้เลย) ไหมเพราะฉันไม่สามารถไปทดสอบในประเทศดังกล่าวได้
รัฐบาลจีนนั้นมีการสอดส่องอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดมากซึ่งรวมถึงการจำกัด ISP และ “จุดอับ” ที่สายเคเบิลอินเทอร์เน็ตเข้าถึงประเทศ นี่หมายความว่ามันสามารถตรวจสอบเส้นทางการเข้าชมอินเทอร์เน็ตได้ไกลมากกว่าประเทศอื่น ๆ และบังคับใช้การปิดกั้นบริการ VPN และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ลองดูรายการโปรแกรม VPN ที่ดีที่สุดสำหรับประเทศจีนที่ได้รับการทดสอบและยืนยันแล้วว่าสามารถหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ในประเทศดังกล่าวได้
ตำแหน่งของเซิฟเวอร์
เป็นมิตรต่อผู้ใช้
- 8.0 / 10การเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเวลาเดียวกัน — 5 อุปกรณ์พร้อมกัน
คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันจำนวน 5 อุปกรณ์ได้ด้วย Hotspot Shield Premium ฉันทดสอบสิ่งนี้โดยการเชื่อมต่อ PC ระบบปฏิบัติการ Windows จำนวน 2 เครื่อง, โทรศัพท์ Android, iPhone และ iPad ฉันไม่พบความแตกต่างในเรื่องของความเร็วเลยตอนที่ฉันรับชมเนื้อหาบนอุปกรณ์มากมายในเวลาเดียวกัน แผนให้บริการฟรีของ Hotspot Shield อนุญาตให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้เพียง 1 อุปกรณ์เท่านั้น
ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ — รองรับอุปกรณ์มากมาย
คุณสามารถใช้ Hotspot Shield บนอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ได้:
- ระบบปฏิบัติการ: Windows, macOS, Linux, Android และ iOS
- Smart TV: Fire TV, Android TV และ Smart TV ที่มีการเข้าถึง Google Play Store
- ส่วนขยายเบราว์เซอร์: Chrome และ Firefox
- เราเตอร์ที่กำหนด
อุปกรณ์ส่วนใหญ่นั้นสามารถใช้งานได้อย่างที่คุณคิด แต่ฉันประหลาดใจอย่างยิ่งที่แอปสำหรับ Android มีฟีเจอร์มากกว่าแอปสำหรับ iOS (ซึ่งรวมถึง Kill Switch และ Smart VPN) ฉันยินดีที่ได้ทราบว่า Hotspot Shield รองรับ Linux และเราเตอร์ที่กำหนดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากรีวิวเว็บไซต์อื่น ๆ กล่าวอ้างว่าพวกเขาไม่รองรับ
หากคุณกำลังมองหาโปรแกรม VPN ที่มีฟีเจอร์มากมายสำหรับอุปกรณ์ Windows ของคุณ คุณก็มีตัวเลือกดี ๆ อีกมากมายในคำแนะนำสำหรับโปรแกรม VPN สำหรับ Windows ที่ดีที่สุด
แอปเฉพาะสำหรับ Windows, Mac, Android, iOS และอื่น ๆ อีกมากมาย — อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและสะอาดตา
แอป Hotspot Shield สำหรับ Windows, macOS และ Linux มีหนึ่งในอินเทอร์เฟซที่สะอาดตาและเป็นมิตรต่อผู้ใช้มากที่สุดที่ฉันเคยใช้งานมา คุณสามารถดูข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการ เช่น เซิร์ฟเวอร์ ความเร็ว ความหน่วง การใช้งานข้อมูลและการโหลดเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างง่ายดาย
อินเทอร์เฟซของ Hotspot Shield สำหรับอุปกรณ์มือถือเองก็ใช้งานง่าย แต่ขาดข้อมูลเพิ่มเติมที่มีให้บริการบนเวอร์ชันเดสก์ท็อป (ซึ่งรวมถึงความเร็ว การใช้งานข้อมูลและความหน่วง)
ส่วนขยายเบราว์เซอร์ใช้ดีไซน์เดียวกันและมีการแสดงความเร็วและการใช้ข้อมูลจากเซสชันปัจจุบันของคุณ
น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถทดสอบ Hotspot Shield บน MacBook Air ของฉันได้เนื่องจากโปรแกรม VPN ต้องการ OS X 10.12 หรือใหม่กว่า
ส่วนขยายเบราว์เซอร์ Chrome และ Firefox — สะดวกสบายและใช้งานง่าย
Hotspot Shield มีส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Chrome และ Firefox ส่วนขยายเป็นวิธีในการรับการป้องกันอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว แทนที่จะต้องมานั่งเปิดแอป VPN ทุกครั้งที่คุณต้องการเชื่อมต่อ มันยังอนุญาตให้คุณเลือกเมืองที่เฉพาะเจาะจงในการหลีกเลี่ยงโปรแกรม VPN ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของฟีเจอร์นี้เนื่องจากฉันสามารถปลดบล็อกเว็บไซต์สตรีมมิ่งได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนการแปลภาษาของเว็บอื่นใด นี่หมายความว่าฉันสามารถรับชม Netflix ในสหรัฐอเมริกาและยังเข้าถึงบัญชีธนาคารท้องถิ่นของฉันได้โดยที่เว็บไซต์ไม่คิดว่าฉันอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือแม้ว่าจะมีเครื่องมือปิดกั้นโฆษณาภายในส่วนขยายเบราว์เซอร์ แต่ฉันไม่สามารถใช้งานได้ แม้ว่าจะหลังจากที่นั่งโหลดส่วนขยายเบราว์เซอร์ 3 ครั้งแล้วก็ตาม ดูเหมือนว่าฉันจะไม่มีโชคเลย
การตั้งค่าและการติดตั้ง — ติดตั้งได้ง่ายภายใน 2 นาที
ข้อดีอย่างเห็นได้ชัดของบริการนี้คือคุณสามารถติดตั้งมันได้ง่าย ๆ ในระหว่างการทดสอบของฉัน ฉันสามารถดาวน์โหลด VPN ติดตั้งและเริ่มต้นใช้งานมันได้ภายใน 2 นาที
ยกเลิกการติดตั้ง Hotspot Shield ได้อย่างรวดเร็ว
คุณสามารถยกเลิกการติดตั้ง Hotspot Shield บน Windows ได้โดยการเปิด “Programs and Features” ในแผงควบคุมและลบมันออกไป บน Mac ให้ลากแอป Hotspot Shield จาก “แอปพลิเคชัน” ไปยัง “ถังขยะ”
บน Android ให้กดแอปค้างไว้และคลิกที่ “ยกเลิกการติดตั้ง” นอกจากนี้คุณยังสามารถลากแอปไปยัง “ยกเลิกการติดตั้ง” เพื่อลบมันออกไปได้ บน iOS ให้กดแอปค้างไว้และคลิกที่ “X” ที่อยู่ด้านบนของแอปเพื่อยกเลิกการติดตั้ง
บริการลูกค้า
- 7.5 / 10คุณสามารถติดต่อทีมสนับสนุนของ Hotspot Shield ได้ 3 ช่องทาง:
- แชทออนไลน์ — อัตราการตอบกลับ 1 นาที
- ความช่วยเหลือผ่านทางอีเมล — อัตราการตอบกลับ 2 ชั่วโมง
- คำถามที่พบบ่อย/ฐานข้อมูลความรู้ — มีบทความมากมายในหัวข้อต่าง ๆ อย่างการติดตั้ง การเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งหรือการเชื่อมต่อจากเครือข่ายในที่ทำงานและโรงเรียน
ฉันติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของ Hotspot Shield ผ่านทางแชทออนไลน์และเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าภายใน 1 นาที แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นมิตรและตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่ฉันก็ไม่ได้รับการตอบกลับที่มีประโยชน์ตอนที่ฉันถามว่าพวกเขารองรับบริการสตรีมมิ่งใดบ้าง
ทำไมฉันถึงต้องดูที่การช่วยเหลือ ในเมื่อฉันสามารถทำได้เอง?
ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าการช่วยเหลือที่ดีมีความจำเป็นเฉพาะในช่วงการติดตั้ง VPN แต่จริง ๆ แล้วก็อาจมีอย่างอื่นที่ท่านอาจต้องการความช่วยเหลือนี้ได้เช่นกัน เช่น การเชื่อมต่อไปยังเซิฟเวอร์บางแห่ง การเปลี่ยนโปรโตคอล และการปรับค่า VPN บนเราท์เตอร์ เป็นต้น เราได้ตรวจสอบ VPN แต่ละตัวเพื่อดูว่ามีการช่วยเหลือเวลาใดบ้าง (ถึงแม้ในช่วงกลางดึก), ระยะเวลาที่พวกเขาตอบสนอง และพวกเขาได้ตอบคำถามเราหรือไม่
ราคา
- 7.5 / 10นอกจากบริการฟรีแล้ว Hotspot Shield มีแผนให้บริการพรีเมียม 2 ราคา คุณสามารถลงทะเบียนสำหรับการสมัครสมาชิกรายปีในราคา $7.99/เดือนหรือแค่ 1 เดือนในราคา $12.99
ช่องทางการชำระเงิน
คุณสามารถชำระเงินสำหรับ Hotspot Shield ได้ด้วยช่องทางดังต่อไปนี้:
- บัตรเดบิตหรือเครดิต
- PayPal
- Google Play (Android เท่านั้น)
- iTunes (iOS เท่านั้น)
ลองใช้ Hotspot Shield ฟรีด้วยการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 45 วัน
Hotspot Shield มีการรับประกันยินดีคืนเงิน 45 วัน — นานกว่าให้ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ คุณสามารถรับเงินคืนได้โดยการส่งตั๋วไปยังฝ่ายสนับสนุนลูกค้าหรือติดต่อพวกเขาผ่านทางแชทออนไลน์
ฉันตรวจสอบนโยบายการขอเงินคืนของ Hotspot Shield ด้วยตัวเองเพื่อดูว่ามันถูกต้องตามกฎหมายไหม หลังจากที่ลงทะเบียนสมัครสมาชิกแบบพรีเมียมเป็นระยะเวลา 1 เดือนและทดสอบฟีเจอร์ต่าง ๆ อีกสองสามวัน ฉันก็ติดต่อกับฝ่ายสนับสนุนลูกค้าผ่านทางอีเมลและขอเงินคืน ตอนที่พวกเขาถามถึงเหตุผลที่ฉันต้องการยกเลิก ฉันบอกพวกเขาง่าย ๆ ว่าฉันต้องการเงินคืน — ซึ่งได้รับการอนุมัติใน 20 นาทีหลัง ฉันได้รับเงินคืนทั้งหมดเข้าในบัญชีของฉันในวันต่อมา
หากคุณต้องการลองใช้เวอร์ชันฟรีของ Hotspot Shield หรือสนใจที่จะค้นหาโปรแกรม VPN ฟรีอื่น ๆ ฉันขอแนะนำให้คุณลองโปรแกรม VPN ฟรีเหล่านี้ดู
Hotspot Shield มีแพลนดังต่อไปนี้
บทสรุป
Hotspot Shield เป็นโปรแกรม VPN ที่ดีที่มีฟีเจอร์พื้นฐาน แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ฉันปลดบล็อกบริการสตริมมิ่งมากมายได้ สามารถ Torrent ได้โดยไม่เปิดเผยตัวตนและได้รับเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่รวดเร็วที่มีความปลอดภัยที่ดี
ถึงอย่างนั้นหากเป้าหมายหลักของคุณคือความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์ที่ไว้วางใจได้ Hotspot Shield ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความประพฤติอันมิชอบของข้อมูลในอดีตเป็นสิ่งที่มองข้ามไปได้ยากและนโยบายความเป็นส่วนตัวของพวกเขานั้นก็คลุมเครืออย่างมากสำหรับฉัน
เนื่องจากราคาของ Hotspot Shield สูงกว่าโปรแกรม VPN พรีเมียมที่ทำงานได้ดีที่สุดบางโปรแกรม ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มค่า สำหรับแผนให้บริการรายเดือนที่ถูกกว่าสำหรับ 1 ปี คุณสามารถรับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือและอื่น ๆ อีกมากมายได้ด้วย ExpressVPN.
คำถามที่พบบ่อย
Hotspot Shield มีแผนให้บริการฟรีไหม?
มี Hotspot Shield มีเวอร์ชันฟรี อย่างไรก็ตามมันมีข้อจำกัดอยู่มากมายซึ่งรวมถึง:
- เซิร์ฟเวอร์เฉพาะในสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งผลให้เกิดการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาและความเร็วที่ช้าลงสำหรับผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกล
- การสตรีมมิ่งที่มาตรฐานความคมชัดถูกจำกัด (และแพลตฟอร์มหลักส่วนใหญ่ใช้งานไม่ได้)
- จำกัดข้อมูล 500MB/วันซึ่งอาจถูกใช้งานใหม่ภายในไม่กี่นาที
- จำกัดความเร็ว 2Mbps ซึ่งอาจก่อให้เกิดระยะเวลาการรอที่นานและการดาวน์โหลดที่ช้า
- ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าให้ความสำคัญรองจากผู้ใช้ที่ชำระเงิน ดังนั้นการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคจะใช้เวลานานกว่า
- โฆษณากวนใจที่อาจติดตั้งมัลแวร์และการติดตามบนอุปกรณ์ของคุณ
การสั่งซื้อ Hotspot Shield คุ้มค่าไหม?
น่าเสียดายที่ไม่ Hotspot Shield มีชุดฟีเจอร์ที่แข็งแกร่ง แต่มีข้อเสียมากมาย
Hotspot Shield มีข้อเสียที่สังเกตเห็นได้มากกว่าข้อดีสำหรับโปรแกรม VPN พรีเมียม หากคุณเป็นเกมเมอร์ คุณจะได้พบกับการดีเลย์ของเซิร์ฟเวอร์ แอปสำหรับ iOS ขาดฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย เช่น Kill Switch หรือ Smart VPN (ซึ่งเชื่อมต่อกับแอปที่เฉพาะเจาะจงโดยอัตโนมัติ) สุดท้ายหากคุณกังวลเกี่ยวกับข้อกังขาด้านความเป็นส่วนตัวในอดีตของบริษัท ยังมีโปรแกรม VPN อื่น ๆ ที่มีบันทึกที่ไว้วางใจได้อยู่อีกมากให้คุณได้เลือกสรร
หากคุณต้องการโปรแกรม VPN ที่มีฟีเจอร์ที่น่าประทับใจโดยรวม ฉันขอแนะนำ ExpressVPN มันมีความเร็วที่ที่รวดเร็ว ความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวที่น่าเชื่อถือและแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับอุปกรณ์ยอดนิยมส่วนใหญ่ คุณยังสามารถลองใช้ ExpressVPN ฟรี 30 วันได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน!
Hotspot Shield จะดูแลให้ฉันปลอดภัยไหม?
ใช่ Hotspot Shield มีฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ข้อกล่าวหาความประพฤติมิชอบในด้านความเป็นส่วนตัวในอดีตเป็นสิ่งที่น่ากังวล
Catapult Hydra ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Hotspot Shield จะเพิ่มการเข้ารหัสที่มีประสิทธิภาพสูงให้กับการเชื่อมต่อของคุณในขณะที่ Kill Switch และการป้องกันการรั่วไหลจะทำให้มั่นใจว่าข้อมูลตัวตนที่แท้จริงของคุณจะไม่ถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ แม้ว่าฟีเจอร์เหล่านี้จะปิดบังเส้นทางการเข้าชมของคุณจากบุคคลที่สาม แต่การเก็บรวบรวมข้อมูลของ Hotspot Shield ก็เป็นเหตุผลเพียงพอให้คุณพิจารณาเลือกใช้โปรแกรม VPN อื่น ๆ แม้ในตอนที่ฉันพยายามถามถึงเรื่องข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวเหล่านี้ ฉันก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
Hotspot Shield ถูกกฎหมายไหม?
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: เราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเรากับผู้อ่าน และเรามุ่งมั่นที่จะได้รับความไว้วางใจจากคุณด้วยการทำงานด้วยความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ เว็บของเราอยู่ในกลุ่มเจ้าของเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ชั้นนำในอุตสาหกรรมบางส่วนที่ได้รับการตรวจสอบบนเว็บไซต์นี้: Intego, Cyberghost, ExpressVPN และ Private Internet Access อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบของเรา เนื่องจากเราปฏิบัติตามวิธีการทดสอบที่เข้มงวด