วิธีการง่ายๆ 3 ข้อในการทำให้ไม่มีใครจับได้ว่าคุณใช้ VPN ในปี 2019
Published by เบนจามิน วอลซ์ on เมษายน 07, 2019VPN เหมาะกับการใช้เพื่อดูภาพยนตร์ Avengers ล่าสุดหรือดู The Good Fight หรือ Atlanta
แต่น่าเสียดายที่บริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, BBC iPlayer และ Hulu ได้พยายามบล็อค VPN เนื่องจากบริการเหล่านี้มีข้อตกลงกับทางผู้สร้างรายการและภาพยนตร์ต่างๆเรื่องการจำกัดการเข้าถึงจากบางพื้นที่ โดยบริการเหล่านี้ใช้วิธีการขึ้นบัญชีดำ IP เพื่อตรวจจับการใช้ VPN โดยดูว่า IP เหล่านั้นเป็นของเซิร์ฟเวอร์ VPN หรือไม่
อย่างไรก็ตาม มีเคล็ดลับในการทำให้ไม่สามารถตรวจจับ VPN ของคุณได้และทำให้ IP ของคุณไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ อ่านต่อเพื่อดูวิธารทำให้ไม่มีใครจับได้ว่าคุณใช้ VPN ในปี 2019:
ขั้นตอนที่ 1: เลือก VPN ที่เหมาะสม
หากคุณต้องการหลบเลี่ยงข้อจำกัดต่างๆคุณจะต้องใช้ บริการ VPN ที่มีคุณภาพ เราขอแนะนำให้คุณใช้ บริการ VPN พรีเมียม แทนการใช้บริการฟรีเพื่อใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว บริการ VPN ฟรีอาจจะฟังดูดีแต่จริงๆแล้วมันมีข้อจำกัด ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกบริการเพื่อประหยัดเงิน คุณควรพิจารณาถึงข้อจำกัดต่างๆก่อน
บริการ VPN ที่ดีที่สุดคือบริการที่มีความปลอดภัยและมีคุณสมบัติที่สามารถทำงานตามที่คุณต้องการ นอกจากนี้บริการที่ดีควรเป็นบริการที่คุณสามารถปรับแต่งได้เพื่อเอาชนะการขึ้นบัญชีดำหมายเลข IP ได้
VPN ที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้คุณถูกจับได้
บริการ VPN เหล่านี้เป็นบริการที่เราคิดว่าดีที่สุดและจะไม่ทำให้คุณถูกจับได้ในระหว่างการใช้บริการสตรีมมิ่ง ฯลฯ
1NordVPN

- ปรับแต่งได้ตามต้องการ
- การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit
- มีโปรโตคอลให้เลือกหลายแบบ
- เซิร์ฟเวอร์ 5,000+ เครื่อง
- เหมาะกับการสตรีมมิ่ง
2ExpressVPN

- มีไคลเอนต์สำหรับเดสก์ท็อปและมือถือหลายรุ่น
- การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit
- การเชื่อมต่อความเร็วสูง
- มีโปรโตคอลหลายแบบ
- มีคุณสมบัติในการปลดบล็อค Netflix
3CyberGhost VPN

- การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit
- ราคาไม่แพง
- มีคุณสมบัติมากมาย
- นโยบายไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน
- ใช้งานง่าย
ขั้นตอนที่ 2: เปลี่ยนการตั้งค่า VPN ของคุณ
เมื่อเลือกบริการ VPN แล้ว คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและหลบเลี่ยงการโดนขึ้นบัญชีดำหมายเลข IP และการทำตามขั้นตอนต่อไปนี้จะทำให้ไม่มีใครจับได้ว่าคุณใช้ VPN:
เปลี่ยนโปรโตคอลการเข้ารหัส
VPN ส่วนใหญ่มีโปรโตคอลสำหรับการเข้ารหัสที่แตกต่างกันไป โดยการเข้ารหัสแบบมาตรฐานคือ AES 256-bit ด้วย OpenVPN ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการเข้ารหัสข้อมูลของคุณ การเปลี่ยนโปรโตคอลการเข้ารหัสจะทำให้คุณสามารถหลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ที่บางเว็บไซต์ใช้ได้
และนี่คือโปรโตคอลที่คุณสามารถเลือกใช้ได้:
- OpenVPN
เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของบริการ VPN ส่วนใหญ่ หากคุณต้องการการปกป้องขั้นพื้นฐาน นี่เป็นโปรโตคอลที่เหมาะสมที่สุด - L2TP/IPSec
เมื่อจับคู่ Internet Protocol Security กับ Layer 2 Tunneling Protocol จะทำให้ความเร็วลดลงเมื่อเทียบกับ OpenVPN แต่หากคุณไม่สนใจเรื่องความเร็วและต้องการไม่ให้ถูกจับได้ ตัวเลือกนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี - SSL/TLS
Transport Layer Security เป็นสิ่งที่มาแทน Secure Sockets Layer และไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ากับโปรโตคอลอื่นๆ แต่หากผู้ให้บริการ VPN ของคุณมีโปรโตคอลนี้ให้เลือก คุณก็สามารถใช้โปรโตคอลนี้ได้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ - SSH
Secure Shell Tunneling เหมือนกับ SSL แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าและมักจะมีการจำกัด คุณอาจจะต้องติดต่อผู้ให้บริการ VPN เพื่อขอใช้โปรโตคอลนี้ แต่ SSH สามารถหลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ได้เกือบทุกแบบ
เปลี่ยนพอร์ต VPN
พอร์ตเป็นเหมือนอุโมงค์ที่ส่งข้อมูลไปให้ ISP ของคุณ บริษัทต่างๆสามารถดูหมายเลขพอร์ตและทราฟฟิคบนพอร์ตและบล็อคทุกอย่างที่พวกเขาต้องการได้ ดังนั้นการเปลี่ยนพอร์ตจะทำให้ตรวจจับ VPN ของคุณไม่เจอ
ลองเปลี่ยนเป็นพอร์ตเหล่านี้:
- 2018 – เหมาะกับการหลีกเลี่ยงการบล็อคโดย ISP
- 41185 – เหมาะกับการใช้หากพอร์ตในช่วงที่ต่ำกว่าถูกบล็อค
- 443 – แทบจะไม่ถูกบล็อคและเป็นพอร์ตสำหรับทราฟฟิคที่มีการเข้ารหัส
- 80 – เป็นอีกพอร์ตที่ไม่ค่อยถูกบล็อค
ขั้นตอนที่ 3: เลือกวิธีการอื่น
หากผู้ให้บริการ VPN ของคุณไม่อนุญาตให้คุณปรับเปลี่ยนการตั้งค่าก็มีวิธีอื่นที่คุณสามารถใช้ได้ แต่สำหรับวิธีการเหล่านี้ผู้ใช้งานควรมีประสบการณ์ในการใช้ VPN มาก่อน
1. เบราว์เซอร์ Tor
เบราว์เซอร์ Tor เป็นเครื่องมือที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวที่ได้รับความนิยม โดยคุณสามารถใช้งานเบราว์เซอร์นี้ร่วมกับ VPN แต่หากคุณใช้ Tor คุณไม่สามารถทำการสตรีมมิ่งได้ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่สามารถใช้ Netflix, BBC iPlayer และ Hulu ได้
นอกจากนี้ Tor จะลดความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณลง ดังนั้นหากคุณต้องการแค่ไม่ให้ถูกจับได้แต่ไม่ได้ต้องการสตรีม Tor ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
2. Shadowsocks (SOCKS5 Proxy)
Shadowsocks ได้รับการออกแบบมาสำหรับใช้งานในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์เช่นจีนและซาอุดิอาระเบีย โดย Shadowsocks ให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่มีข้อจำกัด ด้วยการใช้งานโปรโตคอล Socket Secure 5 โดยมีการรับส่งข้อมูลระหว่างไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์ผ่านพร็อกซี่เซิร์ฟเวอร์ทำให้ต้องมีการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมดังนั้นจึงมีแค่ผู้ใช้งานเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงพร็อกซี่ได้
วิธีการนี้เป็นวิธีการที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือกว่าวิธีอื่นๆ แต่ทำการตั้งค่าได้ยากและอาจจะมีราคาแพงกว่า VPN แต่ถึงแม้วิธีนี้เป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้ไม่ถูกจับได้รวมถึงทำให้คุณเข้าเว็บไซต์ที่มีการบล็อคหมายเลข IP ได้ แต่นี่ควรจะเป็นวิธีสุดท้ายที่คุณเลือกใช้
3. ใช้เซิร์ฟเวอร์ VPN ของคุณเอง
หากคุณไม่สามารถหา VPN ที่อนุญาตให้คุณเปลี่ยนโปรโตคอลหรือพอร์ตได้ คุณสามารถตั้งค่า VPN เองได้