รีวิว AVG ปี 2024: คุณยังสามารถไว้วางใจแอนตี้ไวรัสฟรีนี้ได้ไหม?
ภาพรวม AVG 2024
แม้ว่ามันจะเป็นแอนตี้ไวรัสยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานนับล้านรายทั่วโลก แต่ฉันไม่สามารถแนะนำให้ใช้ AVG ได้อีกต่อไปหลังจากที่บริษัทแม่ถูกจับได้ว่าละเมิดความเป็นส่วนตัวที่ร้ายแรง เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบว่าบริษัทแม่ของ AVG หรือ Avast ได้ดำเนินการขายข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างลับ ๆ มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ Avast ตอบสนองต่อข้อกล่าวหาหลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนและสื่อเท่านั้น
Avast อ้างว่าได้แก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว แต่ฉันก็ไม่ไว้วางใจบริษัทนี้และไม่สามารถแนะนำแผนให้บริการฟรีหรือแผนให้บริการแบบชำระเงินของ AVG ต่อไปได้ มันเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังเนื่องจาก AVG เป็นซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ดีที่มีอัตราการตรวจมัลแวร์เกือบสมบูรณ์แบบ
ลองใช้ Norton โดยไม่มีความเสี่ยงด้วยตัวคุณเอง
ไม่มีเวลาอ่านใช่ไหม? นี่คือบทสรุปฉบับ 1 นาที
- ข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวหลังจากที่มีข่าวอื้อฉาวเรื่องการขายข้อมูล AVG เป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือในแวดวงความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่จริง ๆ แล้วมันแอบขายข้อมูลของผู้ใช้นับล้านราย อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Avast ขายข้อมูลเพื่อสร้างรายได้
- อัตราการตรวจจับมัลแวร์สูง เวอร์ชันฟรีเป็นแอนตี้ไวรัสพื้นฐานที่มีฟีเจอร์ที่ดีที่สุดมากมายซึ่งสงวนเอาไว้สำหรับผู้สมัครสมาชิกแบบชำระเงิน อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ความปลอดภัยของ AVG
- การติดตั้งง่ายและดีไซน์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ แอปที่สะดวกสบายสำหรับ Windows, Android, Mac และ iOS แต่เวอร์ชันฟรีนั้นเต็มไปด้วยคำแนะนำเพื่อให้อัปเกรดที่น่ารำคาญมากมาย ดูว่า AVG ทำงานได้เป็นอย่างไรบ้างในอุปกรณ์เดสก์ท็อปและมือถือ
- ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง แชทออนไลน์เป็นตัวเลือกที่รวดเร็วที่สุด แต่ก็เน้นการขายบริการอย่างต่อเนื่อง ดูตัวเลือกฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของ AVG
- ราคาพรีเมียมที่แพงเกินไป แผนสมัครสมาชิกแบบชำระเงินของ AVG มีฟีเจอร์เพิ่มเติม แต่คุณไม่ควรจ่ายเงินเพื่ออัปเกรดมัน ดูแผนให้บริการต่าง ๆ ของ AVG
ลองใช้ Norton โดยไม่มีความเสี่ยงด้วยตัวคุณเอง
ความปลอดภัย
AVG เสนอสุดยอดฟีเจอร์ความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพดีพอใช้ มันทำคะแนนอัตราการตรวจจับมัลแวร์ได้เกือบสมบูรณ์แบบ การป้องกันตามเวลาจริงจะป้องกันคุณจากภัยคุกคามซีโร่เดย์ แรนซัมแวร์และการป้องกันฟิชชิ่ง นอกจากนี้ AVG ยังเสนอไฟร์วอลล์ที่ได้รับการปรับแต่งที่จะป้องกันคุณจากการโจมตีเครือข่ายด้วย
คำเตือน! บริษัทแม่ของ AVG หรือ Avast ได้ขายข้อมูลการท่องเว็บของผู้ใช้นับล้านรายให้กับนักการตลาดและบุคคลที่สามอื่น ๆ
สิ่งนี้เกิดขึ้นผ่าน Jumpshot บริษัทลูกที่เก็บเกี่ยวข้อมูลซึ่งได้หยุดให้บริการไปแล้ว Jumpshot บันทึกทุกการคลิกของผู้ใช้และบันทึกเว็บไซต์ที่พวกเขาเยี่ยมชม เวลาและตำแหน่งที่มาของการเข้าชม ข้อมูลที่ขายนั้นรวมถึงการค้นหาบน Google ของผู้ใช้ ประวัติการรับชม YouTube และแม้กระทั่งการเยี่ยมชมเว็บไซต์สำหรับผู้ใช้
แม้ว่า Avast จะกล่าวอ้างว่าข้อมูลที่เก็บรวบรวมนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้สมบูรณ์ แต่การสืบสวนของสื่อเผยให้เห็นว่ามันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง การผสมผสานข้อมูลนี้กับบันทึกกิจกรรมเพื่อระบุตัวตนของคุณนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับบริษัทที่สั่งซื้อข้อมูลดังกล่าว ความจริงก็คือบริษัทได้รับรายได้จากการรุกรานความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มาเป็นเวลาหลายปีและหยุดลงเนื่องจากความกดดันของสาธารณชน
Avast ได้ปิด Jumpshot ลงและอัปเดตนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ผู้ใช้ปฏิเสธการเก็บรวบรวมข้อมูลในอนาคต แม้ว่ามันอาจจะมากพอที่จะเรียกความไว้วางใจของผู้คนบางส่วนกลับมาได้ แต่ฉันไม่ไว้วางใจ Avast หรือ AVG ให้ป้องกันความเป็นส่วนตัวออนไลน์และข้อมูลความลับอื่น ๆ ของฉันอีกต่อไป มันน่าเสียดายเพราะ AVG มีแอนตี้ไวรัสที่ดีทั้งในแผนให้บริการฟรีและแผนให้บริการแบบชำระเงิน
ฉันแนะนำให้คุณมองหาผู้ให้บริการแอนตี้ไวรัสที่มีจริยธรรมมากกว่าอย่าง Norton หรือ TotalAV ทั้งสองบริษัทมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดและไม่ขายข้อมูลของผู้ใช้
การสแกนไวรัส — ป้องกันอุปกรณ์ของคุณด้วยการสแกนที่หลากหลาย
AVG ตรวจจับมัลแวร์ที่พบบ่อยที่สุดในช่วง 2 เดือนก่อนการทดสอบได้ถึง 99.7% เพื่อดำเนินการทดสอบในเรื่องนี้ ทีมงานและฉันได้ใส่ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายเข้าไปในคอมพิวเตอร์ Microsoft Windows 10 Pro 64 บิต แม้ว่าฉันจะประทับใจกับอัตราการตรวจจับของ AVG แต่มันก็ไม่สามารถตรวจจับได้ทุกอย่าง หากคุณต้องการซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่มีความสามารถในการสแกนไวรัสที่แข็งแกร่งกว่า แอนตี้ไวรัส Norton มีอัตราการตรวจจับในแบบทดสอบเดียวกันถึง 100%
AVG มอบสิทธิ์ในการเข้าถึงประเภทการสแกนที่แตกต่างกัน 6 ประเภท:
- การสแกนอัจฉริยะ (Smart Scan): สแกนระบบของคุณเพื่อมองหาไวรัสและมัลแวร์อย่างรวดเร็ว
- การสแกนเชิงลึก (Deep Scan): สแกนระบบทั้งหมด (รวมถึงไดร์ฟจัดเก็บข้อมูลและเมมโมรี่) ของคุณเพื่อมอบหามัลแวร์โดยละเอียด
- การสแกนไฟล์หรือโฟลเดอร์ (File and Folder Scan): สแกนโฟลเดอร์ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อมองหาไวรัส
- การสแกนเวลาบูต (Boot-Time Scan): ทำงานในระหว่างเริ่มต้นระบบเพื่อตรวจจับและลบมัลแวร์ออกไปก่อนที่จะทำงาน
- การสแกน USD/DVD (USB/DVD Scan): สแกนมีเดียแบบถอดออกได้ที่เสียบเข้าในอุปกรณ์ของคุณ เช่น USB และฮาร์ดไดร์ฟนอก
- การสแกนประสิทธิภาพ (Performance Scan): ตรวจสอบระบบของคุณเพื่อมองหาปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเร็วและความปลอดภัยของอุปกรณ์ของคุณ เช่น ข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว คุณจะต้องติดตั้ง AVG TuneUp (พร้อมให้บริการแยกต่างหากหรือในแพ็กเกจแผนให้บริการ Ultimate)
แม้ว่าการสแกนที่หลากหลายนั้นจะล้ำค่าอย่างมาก แต่คุณอาจต้องใช้ Smart Scan และ Deep Scan สำหรับชีวิตประจำวันเท่านั้น Smart Scan ใช้เวลาในการทำงานเพียง 2 นาทีบน Windows PC ของฉันในขณะที่ Deep Scan ใช้เวลา 50 นาทีและสแกนไฟล์ในจำนวน 740,000 ไฟล์
การป้องกันตามเวลาจริง — อัตราการตรวจจับมัลแวร์ที่ยอดเยี่ยม
การป้องกันตามเวลาจริงเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญเนื่องจากมันตรวจจับมัลแวร์โดยทันทีและป้องกันมันไม่ให้ก่อความเสียหายต่อระบบของคุณ AVG ใช้การตรวจจับ AI เพื่อระบุและป้องกันมัลแวร์ซึ่งยังไม่มีการระบุเอาไว้ในรายการจากทีม ThreatLabs ของบริษัท (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นภัยคุกคามซีโร่เดย์)
ในระหว่างการทดสอบ AVG มีอัตราการตรวจจับภัยคุกคามซีโร่เดย์ตามเวลาจริงถึง 99.85% — นี่ถือเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 98% เพื่อดำเนินการทดสอบในเรื่องนี้ ทีมงานและฉันได้ใส่รายการมัลแวร์มากกว่า 1,300 รายการเข้าไปในคอมพิวเตอร์ AVG ระบุพลาดไป 2 รายการเท่านั้นซึ่งโชคดีที่มันกลายเป็นไฟล์ที่เป็นผลบวกผิดพลาด แม้ว่านี่จะเป็นอัตราการตรวจจับที่ดี แต่ Norton สามารถทำได้ 100% ในแบบทดสอบเดียวกัน
การตรวจจับแรนซัมแวร์เป็นอีกหนึ่งบริการที่ AVG มีให้และมันเป็นบริการที่สำคัญเอามาก ๆ แรนซัมแวร์เป็นมัลแวร์ขั้นสูงที่จะเข้ารหัสข้อมูลอุปกรณ์ของคุณและบังคับให้คุณจ่ายเงินค่าไถ่ก่อนที่จะให้สิทธิ์ในการเข้าถึงกลับมา ด้วยการโจมตีชนิดนี้ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้ให้บริการแอนตี้ไวรัสจึงต้องอัปเดตซอฟต์แวร์ของพวกเขาอยู่เป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับการป้องกัน ฉันมีความยินดีที่ได้พบว่า AVG มีการตรวจจับแรนซัมแวร์ทั้งในแผนให้บริการฟรีและแผนให้บริการแบบชำระเงิน
AVG มีการตรวจจับที่ทำงานอยู่เสมอซึ่งจะตรวจจับและปิดกั้นแรนซัมแวร์โดยอัตโนมัติก่อนที่มันจะมีโอกาสในการเข้ายึดไฟล์ของคุณ โดยค่าเริ่มต้น AVG จะป้องกันเดสก์ท็อป เอกสารและโฟลเดอร์รูปภาพของฉัน แต่คุณสามารถเพิ่มโฟลเดอร์ใหม่เข้าไปในรายการได้ง่าย ๆ คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้โดยการไปยังฟีเจอร์ “Ransomware Protection” ที่อยู่ใต้แท็บ “Computer” จากหน้าแรกของแอป
การป้องกันฟิชชิ่ง — อัตราการตรวจจับที่น่าผิดหวัง
AVG มีการป้องกันฟิชชิ่งทั้งในแผนให้บริการฟรีและแผนให้บริการแบบชำระเงิน นี่ถือเป็นการป้องกันที่สำคัญเนื่องจากอาชญากรทางไซเบอร์กำลังพึ่งพาการโจมตีฟิชชิ่งเพื่อหลอกให้คุณแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลอย่างข้อมูลลงชื่อเข้าใช้และรายละเอียดการธนาคารเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉันอยากเห็นว่าการป้องกันฟิชชิ่งของ AVG ทำงานได้ดีแค่ไหนสำหรับฉัน ดังนั้นทีมงานและฉันจึงได้ลองเปิด URL ฟิชชิ่งจากอีเมลสแปมและอินเทอร์เน็ต น่าเสียดายที่ AVG ระบุการโจมตีฟิชชิ่งได้เพียง 86% เท่านั้นตอนที่ลองเปิด URL มากกว่า 500 URL ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทดสอบ ผลลัพธ์นี้ถือว่าต่ำกว่าคู่แข่งมากมายอย่าง Norton ซึ่งทำอัตราการตรวจจับในการทดสอบเดียวกันได้สูงกว่ามาก
ไฟร์วอลล์ที่ได้รับการปรับปรุง — พร้อมให้บริการเฉพาะในแผนให้บริการแบบชำระเงินเท่านั้น
ไฟร์วอลล์ที่ได้รับการปรับปรุง (Enhanced Firewall) ของ AVG ไม่เพียงแต่ปิดกั้นเว็บไซต์ อีเมลและการดาวน์โหลดที่เป็นอันตรายได้เท่านั้น แต่ยังมีการป้องกันข้อมูลและความสามารถในการกำจัดข้อมูลถาวรด้วย ฟีเจอร์นี้ช่วยป้องกันโฟลเดอร์และข้อมูลของคุณจากการโจมตีที่เป็นอันตรายทางออนไลน์ น่าเสียดายที่คุณสามารถใช้ไฟร์วอลล์ของ AVG ได้เฉพาะในแพ็กเกจ Internet Security และ Ultimate แบบชำระเงินเท่านั้น
ลองใช้ Norton โดยไม่มีความเสี่ยงเป็นระยะเวลา 60 วัน
ฟีเจอร์ส
การป้องกันแอนตี้ไวรัสเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ AVG แต่นอกจากนี้แล้วมันก็ยังมีฟีเจอร์เพิ่มเติมบางอย่างมาให้ด้วย นี่รวมถึง VPN, ซอฟต์แวร์ความเป็นส่วนตัวที่ได้รับการปรับปรุงและอื่น ๆ อีกมากมาย — แต่ฟีเจอร์เสริมดังกล่าวนั้นพร้อมให้บริการเฉพาะในแผนให้บริการแบบชำระเงินเท่านั้น หากคุณกำลังใช้เวอร์ชันฟรีอยู่ คุณจะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเฉพาะซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสเท่านั้น
SecureVPN — ปลดบล็อก Netflix ได้ แต่บันทึกข้อมูลของคุณ
SecureVPN ของ AVG เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณชื่นชอบการสตรีมมิ่ง (ฉันเข้าถึง Netflix และ BBC iPlayer ของสหรัฐอเมริกาได้อย่างง่ายดาย) ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่แนะนำให้ใช้มันเพื่อทำอย่างอื่นนอกจากนี้ — โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากคุณต้องจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการใช้งานมัน
สรุปก็คือฉันจะไม่ไว้วางใจให้ SecureVPN ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลความเป็นส่วนตัวของคุณ ฉันอ่านนโยบาย VPN ของ AVG โดยละเอียดและมันจะบันทึกและจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวของคุณเอาไว้เป็นระยะเวลา 30 วัน นี่รวมถึงที่อยู่อีเมล ชื่อผู้ใช้ หมายเลข IP การประทับเวลาและอื่น ๆ อีกมากมายด้วย นโยบายความเป็นส่วนตัวยังระบุด้วยว่า AVG จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคุณกับ “บุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้อง” ในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น คำร้องขอจากรัฐบาล
หากคุณต้องการ VPN ที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง ฉันขอแนะนำให้คุณลองดู VPN แยกต่างหากที่ดีที่สุดสำหรับปี 2024 โปรแกรมทั้งหมดเหล่านี้มีราคาที่ถูกกว่าหรือมอบความคุ้มค่าได้ดีกว่า AVG
เว็บไซต์และการป้องกัน — เครื่องมือความเป็นส่วนตัวเพื่อให้มั่นใจได้ถึงการป้องกันทางออนไลน์
AVG เสนอเครื่องมือป้องกันออนไลน์ที่มีประโยชน์ เครื่องมือดังกล่าวนั้นรวมถึง:
- Web Shield: ปิดกั้นเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและการดาวน์โหลดที่ไม่ปลอดภัย
- การป้องกันอีเมล: สแกนข้อความอีเมลขาเข้าและขาออกเพื่อมองหาไวรัส สแกมและเอกสารไฟล์แนบ (เฉพาะ Outlook เท่านั้น) เพื่อมองหามัลแวร์
- การป้องกันเว็บแคม: หยุดแฮกเกอร์ไม่ให้สอดแนมคุณผ่านกล้องเว็บแคมของคุณได้
- การตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูล: “Hacker Alerts” ของ AVG จะตรวจสอบบัญชีของคุณเพื่อมองหารหัสผ่านที่ถูกละเมิดบนเว็บมืด
เมื่อพิจารณาถึงการละเมิดด้านความเป็นส่วนตัวของ AVG แล้ว ฉันต้องขอเตือนไม่ให้ใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ คุณคงไม่อยากให้สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลความลับอย่างที่อยู่อีเมลหรือเว็บแคมของคุณกับบริษัทที่ถูกจับได้ว่าขายข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้หรอก ฉันแนะนำให้คุณเลือกแอนตี้ไวรัสที่มีความเป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัวอย่าง Norton ดีกว่า
การป้องกันการติดตาม (AntiTrack) — ป้องกันเบราว์เซอร์ของคุณเพื่อความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์สูงสุด
การติดตามแอดแวร์นั้นเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมากเนื่องจากบริษัทสามารถใช้ “การติดตามรอยเท้าดิจิทัล” ของคุณเพื่อติดตามกิจกรรมทางออนไลน์ของคุณได้อย่างง่ายดาย ซอฟต์แวร์ AntiTrack ของ AVG จะช่วยแก้ไขปัญหานี้โดยการส่งข้อมูลปลอมเกี่ยวกับตัวคุณไปให้กับนักโฆษณา
AntiTrack มีฟีเจอร์ที่จะช่วยป้องกันความเป็นส่วนตัวของคุณ 4 ฟีเจอร์:
- การป้องกันการติดตาม (Anti-tracking): ปิดกั้นการติดตามเว็บไซต์
- การป้องกันเบราว์เซอร์ (Browser protection): เปิดใช้งานหรือปิดใช้งาน AntiTrack บนเบราว์เซอร์ที่เฉพาะเจาะจง (Chrome, Firefox และอื่น ๆ อีกมากมาย)
- ตารางเวลาการล้างเบราว์เซอร์ (Browser cleanup schedule): ล้างการติดตามคุกกี้จากเบราว์เซอร์ของคุณออกเป็นระยะ ๆ
- รายการอนุญาต (Whitelister): อนุญาตให้เว็บไซต์ที่เฉพาะเจาะจงหลีกเลี่ยง AntiTrack (เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องคอยลงชื่อเข้าใช้อยู่ตลอด)
ฉันพบว่า AntiTrack นั้นใช้งานและทำความเข้าใจได้ง่าย แอปจะสแดงคะแนนความเป็นส่วนตัวตามเวลาจริงเพื่อให้คุณรู้ว่าข้อมูลตัวตนของคุณได้รับการปิดบังเอาไว้ดีแค่ไหน ตอนที่ฉันลงชื่อเข้าใช้ครั้งแรก ฉันได้คะแนนความเป็นส่วนตัว 70% หลังจากใช้เครื่องมือทำความสะอาดของแอปเพื่อล้างข้อมูลการท่องเว็บของฉัน คะแนนของฉันเพิ่มขึ้นมาเป็น 85% (คะแนนที่จัดว่าสูงตามการอ้างอิงของ AVG) อย่างไรก็ตามฉันผิดหวังที่ AntiTrack ไม่บอกเคล็ดลับใด ๆ ในการยกระดับคะแนนของฉันให้เป็น 100% เลย
น่าเสียดายที่ฉันพบว่า AntiTrack มีจุดอ่อนที่อาชญากรทางไซเบอร์สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย หากคุณกังวลว่าจะถูกติดตามทางออนไลน์ ฉันแนะนำให้ใช้ Norton 360 แทน มันมีการสมัครสมาชิก Secure VPN ของ Norton ซึ่งมีฟีเจอร์ป้องกันการติดตามโฆษณา (Ad Tracking) ภายในตัวซึ่งจะปิดกั้นการโฆษณาเป้าหมายทางออนไลน์
เครื่องมืออัปเดตไดร์เวอร์ (Driver Updater) — เครื่องมือเพิ่มเติมที่ไม่คู่ควรกับการจ่ายเงินเพิ่ม
เครื่องมืออัปเดตไดร์เวอร์ (Driver Updater) ของ AVG เป็นเครื่องมือพิเศษสำหรับ Windows ที่จะอัปเดตไดร์เวอร์ทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ของคุณโดยอัตโนมัติ — แต่มันมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายเพิ่ม คุณยังสามารถเปิดการสแกนเพื่อตรวจสอบว่าไดร์เวอร์ใดที่ต้องการอัปเดตได้ แต่ AVG จะไม่ดำเนินการอะไรที่มากไปกว่านั้น
ฉันพบว่าเครื่องมืออัปเดตไดร์เวอร์ (Driver Updater) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นอย่างมาก แม้ว่า AVG จะอยากให้คุณคิดว่าการมีไดร์เวอร์ที่ล้าหลังนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านประสิทธิภาพของระบบก็ตาม แต่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย ตราบใดที่คุณติดตั้งการอัปเดตของ Windows (Windows Updates) ไดร์เวอร์ของคุณก็จะไม่มีปัญหาอะไร
เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ (TuneUp) — เครื่องมือยกระดับประสิทธิภาพระบบที่มีราคาแพงเกินไป
AVG TuneUp ได้รับการออกแบบมาให้ช่วยเพิ่มความเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพ PC ของคุณ มันพร้อมให้บริการทั้งในเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชันพรีเมียม น่าเสียดายที่เวอร์ชันฟรีเป็นเพียงตัวทดลองที่จะแจ้งเตือนคุณถึงปัญหา ในการแก้ไขปัญหาของ PC ของคุณ คุณจะต้องสั่งซื้อเวอร์ชันพรีเมียม (มันมีมาให้ในแผน Ultimate ที่มีราคา $79.99 ต่อปีของ AVG)
หลังจากที่ทดสอบ TuneUp บน Windows PC ของฉัน ฉันก็สังเกตเห็นความแตกต่างในประสิทธิภาพของระบบ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีตัวเลือกที่ดีกว่าที่ทำได้เกือบจะเหมือนกัน TotalAV มีฟีเจอร์ PC Tuneup ที่มอบการแก้ไขมากมายซึ่งรวมถึงการกำจัดไฟล์ที่ไม่จำเป็นและล้างฮาร์ดไดร์ฟของคุณ
เบราว์เซอร์เพื่อความปลอดภัย (Secure Browser) — ฟีเจอร์ที่ไม่มีความสำคัญที่ติดตั้งตัวเองโดยอัตโนมัติ
เมื่อคุณติดตั้งแอนตี้ไวรัส AVG คุณจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึง Secure Browser ฟรีของ AVG โดยทันที มันทำหน้าที่เหมือนกับ Google Chrome ที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวภายในของ AVG เท่านั้น Secure Browser ทำงานได้โดยการบังคับการเข้ารหัส HTTPS, ปิดบังรอยนิ้วมือดิจิทัลของคุณและปิดกั้นการติดตามสคริปต์
นี่เป็นฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นเนื่องจากเบราว์เซอร์ปกติของคุณจะได้รับการป้องกันอยู่แล้วหากคุณใช้ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสคุณภาพ ฉันไม่ชอบที่ Secure Browser ติดตั้งตัวเองโดยอัตโนมัติตอนตอนติดตั้งแอนตี้ไวรัส AVG เนื่องจากมันไม่ได้ขออนุญาตฉันก่อน Secure Browser จะปักหมุดตัวเองลงในทาร์สบาร์ของฉันและขอให้ฉันตั้งให้มันเป็นเบราว์เซอร์โดยค่าเริ่มต้นซึ่งฉันคิดว่านี่เป็นการรุกล้ำอยู่นิดหน่อย
เครื่องมือทำความสะอาด (Cleaner) — ฟรี แต่เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ไม่จำเป็น
AVG Cleaner เป็นแอปพิเศษสำหรับ Mac/Android ที่ได้รับการออกแบบมาให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบของคุณโดยการดำเนินการดังต่อไปนี้:
- การล้างแคชเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต
- การค้นหาและลบไฟล์ขยะ
- การกำจัดไฟล์ระบบและไฟล์ชั่วคราว
- การล้างถังขยะ
- การมองหาและกำจัดไฟล์ซ้ำที่ไม่จำเป็น
เนื่องจาก AVG Cleaner เป็นโปรแกรมที่เปิดให้บริการฟรี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ไม่ควรลองใช้งานมัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันเป็นผลิตภัณฑ์ของ AVG คุณจึงระมัดระวังเรื่องการขายข้อมูลผู้ใช้ในอดีตของบริษัทด้วย ฉันแนะนำให้คุณเลือกแอนตี้ไวรัสที่เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัวมากกว่าที่ให้คุณล้างระบบของคุณได้โดยไม่มีความเสี่ยง ฉันใช้หนึ่งในแอนตี้ไวรัส Mac ฟรีเหล่านี้ที่เสนอุสดยอดเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องจัดการกับความยุ่งเหยิงของ Macbook ของฉัน
Data Shredder — ลบไฟล์ความลับออกถาวร
เมื่อคุณลบไฟล์ออกจากระบบของคุณ มันจะไม่ได้ถูกลบออกไปอย่างถาวร หากมีใครบางคนเข้าถึงอุปกรณ์ของคุณได้ พวกเขาสามารถใช้เครื่องมือที่เฉพาะเจาะจงในการกู้คืนไฟล์ที่ “ถูกลบไปแล้ว” ได้
ฟีเจอร์ Data Shredder ของ AVG ให้คุณเขียนทับเอกสารความลับหรือลบมันจากดิสก์ของคุณถาวรได้ มันใช้อัลกอริทึมการทำลายข้อมูลที่ยอดเยี่ยมอย่างอัลกอริทึมการทำลายข้อมูล Department of Defense และ Gutmann คุณจะพบว่าฟีเจอร์การทำลายข้อมูลมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในการดูแลให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยตอนที่ขายหรือบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ
โหมด Do Not Disturb — เล่นเกมโดยไม่ถูกขัดจังหวะ
โหมด Do Not Disturb ของ AVG ให้คุณใช้แอปเต็มหน้าจออย่างเกมได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะ นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มแอปไปยังรายการดังกล่าวด้วยตนเองได้ด้วยเพื่อที่คุณจะได้สามารถใช้งานแอปเหล่านั้นได้โดยไม่ถูกรบกวน
โหมด Do Not Disturb ของ AVG จะหยุดการแจ้งเตือนจากแอปของบุคคลที่สาม, แอนตี้ไวรัส AVG และแม้กระทั่งการอัปเดต Windows เพื่อที่คุณจะได้สามารถใช้แอปที่เฉพาะเจาะจงได้โดยไม่มีข้อความป๊อปอัพกวนใจ ฟีเจอร์นี้ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์สำหรับเกมเมอร์ที่ไม่ต้องการการรบกวนตอนที่กำลังเล่นเกมสุดโปรดอยู่
ความง่ายต่อการใช้งาน
AVG พร้อมให้บริการบน Windows (7, 8,8.1, 10 และ 11), Mac (macOS 10.11.x หรือสูงกว่า), Android (6.0 หรือสูงกว่า) และ iOS (13.0 หรือใหม่กว่า)
ฉันติดตั้งแอปสำหรับเดสก์ท็อปและมือถือของ AVG ได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่นาที AVG จะให้คุณเลือกระหว่างเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชันชำระเงินในระหว่างการติดตั้ง ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลการชำระเงินใด ๆ เพื่อดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ การอัปเกรดจากแผนให้บริการฟรีเป็นเวอร์ชันพรีเมียมนั้นก็เป็นเรื่องง่ายเนื่องจากฉันสามารถดำเนินการได้ในแอป หลังจากที่กรอกข้อมูลการชำระเงินของฉันแล้ว AVG จะดำเนินการอัปเดตและปลดล็อกฟรีเจอร์ใหม่โดยอัตโนมัติ (ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เพิ่มเติม)
แอปเดสก์ท็อปสำหรับ Windows และ Mac — การค้นหาฟีเจอร์ที่สำคัญในแดชบอร์ดเป็นเรื่องยาก
ฉันประทับใจกับคำแนะนำของแอปเดสก์ท็อปเนื่องจากสิ่งแรกที่มันถามฉันคือฉันต้องการเปิดใช้งานการสแกนไวรัสเลยไหม หลังจากที่เปิดใช้งานการสแกนครั้งแรกเสร็จ ฉันก็ได้รับการต้อนรับจากแดชบอร์ดหลัก จากตรงนี้คุณจะสามารถเปิดใช้งานการสแกนและเข้าถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ต้องการได้
เวอร์ชัน Mac นั้นมีหน้าตาคล้ายกับแอปสำหรับ Windows โดยมีความแตกต่างที่น่าสังเกตอย่างเดียวคือการลบปุ่ม “ความเป็นส่วนตัว” ออกไปจากแดชบอร์ดหลัก อย่างไรก็ตามการค้นหาทุกฟีเจอร์นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายเสมอไป ตัวอย่างเช่นโปรแกรม TuneUp และ Secure VPN ถูกซ่อนอยู่ที่ปุ่มด้านล่างของเมนูแบบเลื่อนลง ฉันอยากให้มีการเข้าถึงฟีเจอร์ทั้งหมดบนแดชบอร์ด
แม้ว่าการเปิดใช้งานการสแกนไวรัสด้วย AVG จะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ แต่ฉันผิดหวังที่มันไม่มอบข้อมูลโดยละเอียดหลังจากที่การสแกนเสร็จสิ้นลงแล้วกับฉัน ในตอนสิ้นสุดการสแกน AVG จะแจ้งเตือนคุณเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเป็นไปได้ แต่มันก็ทำได้แค่นั้น หากคุณต้องการสถิติโดยละเอียดเพิ่มเติม คุณจะต้องค้นหาในเมนูและหาฟีเจอร์ “ประวัติการสแกน (Scan History)” ที่นี่คุณจะพบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนไฟล์ที่สแกนและเวลาที่ใช้ในการดำเนินการให้เสร็จ แม้ว่าฉันจะชื่นชอบกับสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลนี้ แต่ฉันคิดว่าจะดีกว่านี้ถ้าหาก AVG ชี้แจงมันออกมาเลยในตอนสิ้นสุดการสแกนแต่ละครั้งแทนที่จะให้ฉันมานั่งหามันในแท็บแยกต่างหาก
AVG ให้คุณเจ้าถึงเครื่องมือความปลอดภัยที่มีประโยชน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีประโยชน์เลย ยกเว้นแต่ว่าคุณจะยอมจ่ายเงินเพื่ออัปเกรดมัน หลังจากที่ตรวจสอบอุปกรณ์ของฉันเพื่อมองหาไวรัสและมัลแวร์แล้ว AVG จะแจ้งเตือนฉันถึงจำนวน “ปัญหาขั้นสูง” ถึงอย่างนั้นตอนที่ฉันคิดปุ่ม “แก้ไขทั้งหมด (Resolve All)” แอปก็จะแจ้งเตือนว่ามันจะสามารถแก้ไขภัยคุกคามเหล่านี้ให้หากฉันอัปเกรดเป็นแผนให้บริการแบบชำระเงินเท่านั้น คุณจะพบการพยายามขายบริการอยู่ในทุกแห่งในแอป — ตัวอย่างหนึ่งคือ “ของขวัญต้อนรับ” ที่เป็นแค่ส่วนลดสำหรับแผนให้บริการ Internet Security
แม้ว่าฉันจะสามารถชื่นชมข้อเท็จจริงที่ว่า AVG ต้องการให้ผู้ใช้งานบางส่วนจ่ายเงินสำหรับบริการของพวกเขา แต่ฉันคิดว่ามันมีวิธีในการทำแบบนั้นที่ดีกว่านี้ หลังจากใช้งาน AVG เป็นระยะเวลาสองสามวัน การพยายามขายบริการนั้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนพบกับสแปม ผู้ใช้หลายคนพึงพอใจกับฟีเจอร์ที่มีมาให้ในเวอร์ชันฟรีและไม่ต้องการการแจ้งเตือนให้อัปเกรดอย่างต่อเนื่อง
แอปมือถือสำหรับ Android และ iOS — รวมฟีเจอร์ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละอุปกรณ์
AVG มีการป้องกันที่สมบูรณ์สำหรับอุปกรณ์ Android และ iOS ประสบการณ์การใช้งานนั้นคล้ายกันกับเดสก์ท็อป แต่มีฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับอุปกรณ์ Android และ iOS นี่รวมถึง:
- การกระตุ้นแรม (Boost Ram): ปิดแอปที่ทำงานในพื้นหลังโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบ
- ทำความสะอาดขยะ (Clean Junk): วิเคราะห์พื้นที่จัดเก็บอุปกรณ์ของคุณเพื่อกำจัดไฟล์ที่ไม่ใช้และไฟล์ที่ไม่จำเป็น
- สแกน Wi-Fi (Scan Wi-Fi): ตรวจสอบการเชื่อมต่อ Wi-Fi ของคุณเพื่อมองหาปัญหาและภัยคุกคาม
ฉันประทับใจกับความรวดเร็วในการสแกนของ AVG บนมือถือ บนโทรศัพท์ Android ของฉัน AVG ใช้เวลาในการสแกนน้อยกว่าหนึ่งนาที
น่าเสียดายฉันพบว่าเลย์เอาท์นั้นค่อนข้างใช้งานยาก ฉันไม่สามารถแม้แต่ลงชื่อเข้าใช้บัญชีของฉันได้ แอปมือถือสำหรับ AVG จะดาวน์โหลดเวอร์ชันฟรีโดยค่าเริ่มต้น ดังนั้นคุณจึงจะต้องกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านหากคุณสมัครสมาชิกใช้แผนให้บริการแบบพรีเมียม การค้นหาปุ่มลงชื่อเข้าใช้นั้นใช้เวลานานกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ แต่ในที่สุดฉันก็พบมันอยู่ในเมนูแบบดึงลงหลังจากที่ AVG ขอให้ฉันอัปเกรดบัญชีของฉัน
วิธีใช้แอนตี้ไวรัส AVG บน Windows
- ไปยังเว็บไซต์ของ AVG — คลิกที่ปุ่ม “ดาวน์โหลดฟรี” เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง
- ติดตั้งแอนตี้ไวรัส — เปิดใช้งานตัวติดตั้งและรอให้การติดตั้งดำเนินการจนเสร็จ
- เปิดใช้งานแอป — เลือกแผนให้บริการฟรีหรืออัปเกรดเป็นแผนให้บริการพรีเมียม
- เปิดใช้งานการสแกนครั้งแรกของคุณ — หลังจากที่คุณเลือกแผนให้บริการแล้ว AVG จะแจ้งเตือนให้คุณเปิดใช้งานการสแกนครั้งแรก (การสแกนแบบอัจฉริยะ)
บริการลูกค้า
แชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง — ระยะเวลาตอบกลับรวดเร็ว แต่เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าที่ตามตื้อ
แชทออนไลน์ของ AVG เป็นช่องทางในการติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าที่ดีที่สุด — แต่การเข้าถึงฟีเจอร์นี้ไม่ง่ายเลย คุณจะต้องค้นหาคำถามของคุณผ่านหน้าคำถามที่พบบ่อยและฟอรั่มก่อนที่คุณจะได้พบกับตัวเลือกในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า ถึงอย่างนั้นฉันก็พึงพอใจกับบริการแชทออนไลน์ มันใช้เวลาในการเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าที่เป็นมิตรและมีประโยชน์ภายในไม่กี่วินาที แถมคุณยังสามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าในภาษาไทยได้อีกด้วย
น่าเสียดายที่ฉันรำคาญใจกับการตื้อขายแผนให้บริการแบบชำระเงินนิดหน่อย AVG เป็นหนึ่งในบริการแชทออนไลน์ที่พยายามตื้อขายบริการมากที่สุดที่ฉันเคยเห็น แต่ฉันเลือก TotalAV ซึ่งมีตัวเลือกการสนับสนุนมากมายสำหรับผู้ใช้ทุกท่านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ฟอรั่มออนไลน์ — ทรัพยากรที่มีค่าที่ห่อหุ้มด้วยอินเทอร์เฟซที่น่าเกลียด
AVG มีฟอรั่มออนไลน์ที่ดีที่ครอบคลุมในเกือบทุกหัวข้อ ฉันชื่นชมที่ฟอรั่มนั้นได้รับการจัดระเบียบเป็นอย่างดีและเข้าถึงได้ง่าย ๆ จากแถบด้านข้างของแอป มันเป็นตัวเลือกที่มีประโยชน์หากคุณมีเวลา (หรือความอดทน!) ในการเข้าถึงแชทออนไลน์
ราคา
AVG มักอ้างตนว่าเป็นหนึ่งในโปรแกรมแอนตี้ไวรัสพรีเมียมฟรีที่ดีที่สุดในตลาด อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของพวกเขาย่ำแย่ลงเมื่อถูกพบว่าบริษัทแม่ Avast ขายข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้นับล้านราย แม้ว่า AVG จะยังคงเป็นแอนตี้ไวรัสที่มีความสามารถ แต่ฉันไม่ไว้วางใจให้มันดูแลความปลอดภัยของข้อมูล
Norton 360 มีฟีเจอร์ที่คล้ายกันให้บริการและยังมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกับชุด Internet Security และ Ultimate ของ AVG ไม่เพียงแต่คุณจะสามารถลองใช้ Norton ฟรี 60 วันด้วยการรับประกันยินดีคืนเงินได้เท่านั้น แต่บริษัทจะไม่ขายข้อมูลของคุณให้กับบริษัทอย่าง Google และ Microsoft
AVG Antivirus Free — การป้องกันพื้นฐานที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
แผนให้บริการฟรีของ AVG นั้นเป็นแพ็กเกจแอนตี้ไวรัสที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะสแกนปัญหาด้านประสิทธิภาพและบังคับใช้การอัปเดตความปลอดภัยตามเวลาจริงโดยอัตโนมัติ นอกจากการสแกนไวรัสแล้ว AVG AntiVirus Free ยังมี:
- File Shield: สแกนไฟล์ใด ๆ ก็ตามที่เพิ่มเข้ามาหรือถูกเปิดบน PC ของคุณ
- Behavior Shield: แจ้งเตือนคุณเกี่ยวกับพฤติกรรมแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย
- Ransomware Protection: ป้องกันโฟลเดอร์จากการโจมตีแรนซัมแวร์
- Network Inspector: สแกนเพื่อมองหาจุดอ่อนในเครือข่ายของคุณ
- Web Shield: ป้องกันการโจมตีเว็บไซต์และการดาวน์โหลดที่ไม่ปลอดภัย
- Email Shield: ปิดกั้นไฟล์แนบอีเมลที่น่าสงสัย
AVG Internet Security — แผนให้บริการพรีเมียมขาดฟีเจอร์สำคัญ
Internet Security ให้สิทธิ์คุณเข้าถึงฟีเจอร์ทั้งหมดใน AntiVirus Free แถมไฟร์วอลล์ที่ได้รับการปรับปรุง การป้องกันรหัสผ่านและการป้องกันเว็บแคม นอกจากนี้คุณยังได้รับการป้องกันจากการเข้าถึงจากระยะไกลที่ไม่พึงประสงค์ การเข้ายึดครอง DNS โดยแฮกเกอร์และการเข้าถึงไฟล์ความลับทั้งหมดที่ไม่ได้รับอนุญาต
การสมัครสมาชิก Internet Security ยังให้สิทธิ์ในการเข้าถึง AVG AntiVirus Pro บน Android อีกด้วย (เวอร์ชัน iOS เองก็เช่นกัน แต่มีฟีเจอร์น้อยกว่าเนื่องจากข้อกล่าวอ้างของ AVG ที่ว่าอุปกรณ์ iOS จะไม่ได้รับไวรัส) แอปมือถือมีฟีเจอร์ที่คล้ายกันกับเวอร์ชันเดสก์ท็อป แต่มีฟีเจอร์ป้องกันขโมยที่โดดเด่นที่จะป้องกันอุปกรณ์ของคุณในกรณีที่มันถูกโจรกรรม
แม้ว่า AVG Internet Security จะมอบความคุ้มค่ากับราคาที่ดี แต่ยังมีตัวเลือกแอนตี้ไวรัสที่ดีกว่าอื่น ๆ ในการทดสอบของฉัน ฉันพบว่า Norton มีฟีเจอร์ที่เหมือนกันจำนวนมากและมีบริการ VPN เพิ่มเติมมาให้ในราคาที่ใกล้เคียงกัน
AVG Ultimate — มีฟีเจอร์มากมาย แต่ไม่คุ้มค่ากับการจ่ายเงินเพิ่ม
อย่างที่ชื่อบอก AVG Ultimate เต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่น่าประทับใจมากมาย — และราคาก็แสดงให้เห็นถึงเรื่องนั้นแล้ว คุณจะได้รับฟีเจอร์ทั้งหมดจากแพ็กเกจก่อนหน้านี้รวมถึง AVG TuneUp และ AVG Secure VPN แม้ว่าทั้งสองผลิตภัณฑ์จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเขาควรตั้งราคาที่เกือบเป็นสองเท่าของแพ็กเกจ Internet Security
การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน — แชทออนไลน์ดำเนินการคืนเงินอย่างรวดเร็ว
AVG มีการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วันในแผนให้บริการ Internet Security และ Ultimate นี่ช่วยให้คุณได้ลองใช้ฟีเจอร์พรีเมียมโดยไม่มีความเสี่ยงเพื่อดูว่า AVG เป็นโปรแกรมที่คุ้มค่าแก่การชำระเงินหรือไม่ แม้ว่าคุณจะสามารถรับเงินคืนไม่ว่าด้วยเหตุผลใดภายในระยะเวลารับประกัน 30 วันได้ แต่ฉันพบว่าการดำเนินการขอรับเงินคืนนี้ค่อนข้างน่าผิดหวัง
ฉันส่งคำขอคืนเงินผ่านแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ของ AVG และต้องรอนาน 3 วัน — ฉันไม่ได้รับการตอบกลับเลยและฉันไม่ต้องการรอนานกว่านี้ ดังนั้นฉันจึงสอบถามถึงการขอเงินคืนผ่านแชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมงแทน ฉันประทับใจอย่างยิ่งกับคุณภาพบริการที่ฉันได้รับเนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าดำเนินการคืนเงินให้กับฉันโดยทันที ฉันได้รับเงินคืนเข้าบัญชีธนาคารของฉันใน 2 วัน
น่าเสียดายที่แบบฟอร์มขอเงินคืนนั้นไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติเนื่องจากคุณอาจไม่ได้รับการตอบกลับภายในระยะเวลาที่เหมาะสมหากคุณเกิดขอเงินคืนในช่วงที่เกือบจะหมดเวลารับประกัน 30 วัน ฉันแนะนำให้ติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าโดยตรงผ่านแชทออนไลน์เพราะนี่จะช่วยรับประกันว่าคุณจะได้รับเงินคืนตรงเวลา
บทสรุป
ฉันสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่า AVG เป็นแพ็กเกจความปลอดภัยที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเวอร์ชันฟรีได้มอบระดับการป้องกันไวรัสและมัลแวร์ที่น่าประทับใจ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถแนะนำ AVG ได้เนื่องจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้ — การเอาข้อมูลความเป็นส่วนตัวของคุณไปเสี่ยงกับซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มกันหรอก
ฉันแนะนำให้คุณใช้บริการบริษัทแอนตี้ไวรัสที่ได้รับการพิสูจน์แล้วอย่าง Norton นโยบายความเป็นส่วนตัวของบริษัทระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่ามันจะไม่ขาย ให้ยืมหรือปล่อยเช่าข้อมูลส่วนตัวของคุณต่อบุคคลที่สาม ที่ดีไปกว่านั้นคือ Norton ยังทำงานได้ดีกว่า AVG ในการทดสอบการป้องกันมัลแวร์และการป้องกันตามเวลาจริง มันยังมีฟีเจอร์พรีเมียมอย่างการสำรองข้อมูลบนคลาวด์, VPN และผู้จัดการรหัสผ่านให้บริการในแผนแบบชำระเงินทั้งหมดด้วย
คำถามที่พบบ่อย: แอนตี้ไวรัส AVG
AVG ทำงานได้ดีไหม?
AVG ปลอดภัยหรือเปล่า?
แอนตี้ไวรัส AVG ถูกกฎหมายไหม?
ใครเป็นเจ้าของแอนตี้ไวรัส AVG?
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: เราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเรากับผู้อ่าน และเรามุ่งมั่นที่จะได้รับความไว้วางใจจากคุณด้วยการทำงานด้วยความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ เว็บของเราอยู่ในกลุ่มเจ้าของเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ชั้นนำในอุตสาหกรรมบางส่วนที่ได้รับการตรวจสอบบนเว็บไซต์นี้: Intego, Cyberghost, ExpressVPN และ Private Internet Access อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบของเรา เนื่องจากเราปฏิบัติตามวิธีการทดสอบที่เข้มงวด