McAfee ปะทะ Bitdefender ปี 2025: แอนตี้ไวรัสใดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด?
McAfee และ Bitdefender ดูจากภายนอกแล้วคล้ายกันมากซึ่งทำให้การตัดสินใจระหว่างสองทางเลือกนี้เป็นเรื่องยาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้นำโปรแกรมแอนตี้ไวรัสทั้งสองโปรแกรมนี้มาทดสอบและเปรียบเทียบกันในหมวดหมู่ที่แตกต่างกันไป 15 หมวดหมู่เพื่อดูว่าแบรนด์ใดทำงานได้ดีที่สุด
สรุปก็คือ McAfee เป็นอันดับที่หนึ่ง — แต่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การป้องกันมัลแวร์ที่ส่งผลกระทบต่ำจะไม่ทำให้อุปกรณ์ของคุณทำงานช้าลงแม้ในตอนที่เปิดใช้งานการสแกนที่ความเข้มข้นสูง แถมมันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมอีกมากมายที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ ช่วยดูแลให้ทั้งครอบครัวของคุณออนไลน์อย่างปลอดภัยและป้องกันเครือข่ายโดยรวมของคุณ ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือคุณสามารถลองใช้ McAfee เป็นระยะเวลา 60 วันโดยไม่มีความเสี่ยงได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน ฉันทดสอบนโยบายคืนเงินแล้วและการดำเนินการก็เป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย — ฉันได้รับเงืนคืนภายในหนึ่งสัปดาห์
เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ Bitdefender เป็นแอนตี้ไวรัสที่แข็งแกร่ง แต่มีข้อจำกัด (ตัวอย่างเช่น แผนให้บริการมากมายทำงานได้เฉพาะบน Windows เท่านั้น) อย่างไรก็ตามฉันประทับใจเป็นอย่างยิ่งกับ VPN ที่รวดเร็ว, Game Mode เฉพาะและผู้จัดการรหัสผ่าน หากคุณต้องการทดสอบบริการดังกล่าวด้วยตัวเอง คุณก็สามารถใช้ประโยชน์จากการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วันของ Bitdefender ได้ ฉันทดสอบนโยบายนี้แล้วและฉันก็ได้รับเงินคืนภายใน 5 วัน
ไม่มีเวลาอ่านใช่ไหม? นี่คือบทสรุปหมวดหมู่ผู้ชนะฉบับอ่านจบ 1 นาที
![]() |
![]() |
|
สแกนเนอร์ไวรัส | การสแกนประเภทต่าง ๆ ตรวจจับและกักกันมัลแวร์ได้ถึง 100% | มีสแกนเนอร์ไวรัส 5 ประเภท แต่พลาดไฟล์ทดสอบมัลแวร์ไป 1 ไฟล์ |
การป้องกันตามเวลาจริง | ตรวจจับภัยคุกคามที่เพิ่มมีการเผยแพร่ใหม่ได้ถึง 100% | ทำเครื่องหมายและปิดกั้นภัยคุกคามล่าสุดได้ถึง 99.7% |
ประสิทธิภาพของระบบ | ไม่มีผลกระทบต่อระบบที่ส่งเกตเห็นได้N | อุปกรณ์ทำงานช้าลงเล็กน้อย |
VPN | เซิร์ฟเวอร์ใน 23 ประเทศ — แต่ช้าและมีปัญหาในการปลดบล็อกบริการสตรีมมิ่ง | ความเร็วรวดเร็วด้วยเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ใน 27 ประเทศและปลดบล็อก Netflix ของสหรัฐอเมริกาได้ |
แผงควบคุมสำหรับผู้ปกครอง | การป้องกันที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ที่มาพร้อมกับการติดตามตำแหน่ง ตัวกรองเว็บไซต์และตารางจำกัดเวลาใช้งานหน้าจอ | ตั้งค่าและใช้งานยาก มีฟีเจอร์การกั้นรั้วทางภูมิศาสตร์ ตัวกรองเว็บไซต์และตารางจำกัดเวลาใช้งานหน้าจอ — iOS จะมีตัวเลือกที่จำกัดมาก ๆ |
ไฟร์วอลล์ | ทำงานร่วมกันกับไฟร์วอลล์ของ Windows เพื่อป้องกันการรุกรานได้ | ไฟร์วอลล์ที่ปรับแต่งได้สูง — แต่ไม่พร้อมให้บริการในแผนสมาชิก Antivirus Plus หรือแผนสมาชิกฟรี |
ผู้จัดการรหัสผ่าน | จัดเก็บรหัสผ่านฟรีได้ 15 รหัสผ่าน | จัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดในทุกแผนให้บริการ |
การเล่นเกม | มีรวมมาให้ในแพ็กเกจ Gamer Security แยกต่างหาก | Game Mode จะตรวจจับและเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมโดยอัตโนมัติ |
เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ | QuickClean, App Boost และ Web Boost | Battery Saver และ OneClick Optimizer |
ฟีเจอร์อื่น ๆ | ส่วนขยายเบราว์เซอร์ เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวรที่ปลอดภัย การป้องกันแรนซัมแวร์และอื่น ๆ อีกมากมาย | ส่วนขยายเบราว์เซอร์ เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวรที่ปลอดภัย การป้องกันแรนซัมแวร์และอื่น ๆ อีกมากมาย |
ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ | Windows, Mac, Android และ iOS | Windows, Mac, Android และ iOS |
บริการลูกค้า | แชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ฝ่ายสนับสนุนผ่านทางโทรศัพท์และฟอรั่มคอมมูนิตี้ | แชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ฝ่ายสนับสนุนผ่านทางโทรศัพท์ ระบบตั๋วทางอีเมลและฟอรั่มคอมมูนิตี้ |
ราคา | คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมาก — ฟีเจอร์ทั้งหมดพร้อมให้บริการในทุกแผนให้บริการ | คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปปานกลาง — มีฟีเจอร์จำกัดในทุกแผนให้บริการ ยกเว้นแผนให้บริการที่ 1 |
เวอร์ชันฟรี | ไม่มีแผนให้บริการฟรีหรือเวอร์ชันทดลองใช้งาน | มีเวอร์ชันฟรีพื้นฐานพร้อมให้บริการ |
การรับประกันยินดีคืนเงิน | 60 วัน | 30 วัน |
ฉันทดสอบและเปรียบเทียบ McAfee กับ Bitdefender อย่างไร
- การสแกน การป้องกันและประสิทธิภาพ — เราทดสอบว่าแอนตี้ไวรัสแต่ละบริการตรวจจับและปิดกั้นมัลแวร์ที่รู้จักและมัลแวร์ใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างไร เรายังทดสอบด้วยว่าการสแกนแต่ละประเภทนั้นใช้ทรัพยากรระบบของคอมพิวเตอร์ของเรามากแค่ไหนด้วย
- ฟีเจอร์เสริม — เราตรวจสอบฟีเจอร์อื่น ๆ ทั้งหมดที่แอนตี้ไวรัสแต่ละบริการมีให้เพื่อดูว่าฟีเจอร์เหล่านั้นทำงานได้ดีแค่ไหนและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับซอฟต์แวร์ได้หรือไม่
- ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ — เราทดสอบโปรแกรมในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เพื่อดูว่าโปรแกรมนั้น ๆ ทำงานได้ดีมากแค่ไหน
- บริการลูกค้า — เราติดต่อกับทีมสนับสนุนลูกค้าเพื่อดูว่าพวกเขาช่วยเหลือมากแค่ไหน
- ราคา — เราเปรียบเทียบแผนสมาชิกที่มีให้เพื่อหาแผนสมาชิกที่คุ้มค่ามากที่สุด
- เวอร์ชันฟรี — เราทดสอบเวอร์ชันฟรีเพื่อดูว่าบริการนั้น ๆ คุ้มค่าแก่การใช้งานหรือไม่
- การรับประกันยินดีคืนเงิน — เราสั่งซื้อแผนสมาชิกและทดสอบนโยบายการคืนเงินสำหรับแอนตี้ไวรัสแต่ละบริการ
1. สแกนเนอร์ไวรัส — การสแกนแบบรวดเร็ว (Fast Scans) ของ McAfee ตรวจพบมัลแวร์ที่รู้จัก 100% รายการ
ทั้ง Bitdefender และ McAfee ต่างก็มีการสแกนมัลแวร์ที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่สำคัญหนึ่งเรื่องคือการสแกนของ McAfee นั้นรวดเร็วกว่ามากโดยเฉพาะการสแกนแบบรวดเร็ว (Quick Scan)
ในแง่ของความเร็ว การสแกนของ McAfee รวดเร็วกว่าสองสามนาที การสแกนแบบรวดเร็ว (Quick Scan) ใช้เวลาในการตรวจสอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า 5 นาที ในขณะที่การสแกนอย่างเต็มรูปแบบ (Full Scan) ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงในการตรวจสอบทั้งระบบ ซึ่งมีข้อมูลมากกว่า 280GB

ในทางกลับกัน การสแกนแบบรวดเร็ว (Quick Scan) ของ Bitdefender ช้ากว่าเล็กน้อย ใช้เวลาประมาณ 5 นาที การสแกนอย่างเต็มรูปแบบ (Full Scan) รวดเร็วพอ ๆ กันกับ McAfee โดยใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงในการตรวจสอบทั้งระบบของเรา

ตารางดังต่อไปนี้จะแสดงการสแกนประเภทต่าง ๆ ที่มีให้บริการในทั้งสองแอป:
การสแกนแบบรวดเร็ว (Quick Scan) | การสแกนอย่างเต็มรูปแบบ (Full Scan) | การสแกนแบบกำหนดเอง (Custom Scan) | การสแกนช่องโหว่ (Vulnerability Scan) | การสแกนสภาพแวดล้อมการกู้คืน (Rescue Environment Scan) | |
McAfee | ✔ | ✔ | ✔ | ✘ | ✘ |
Bitdefender | ✔ | ✔ | ✔ | ✔ | ✔ |
Bitdefender เสนอตัวเลือกในการสแกนมากกว่า McAfee เราชื่นชอบการสแกนสภาพแวดล้อมการกู้คืน (Rescue Environment Scan) เป็นพิเศษ ซึ่งการสแกนนี้จะตรวจสอบอุปกรณ์ของคุณในระหว่างโหมดที่ปลอดภัย (Safe Mode) เพื่อกำจัดภัยคุกคามที่ดื้อด้านที่ไม่สามารถลบออกไปในขณะที่ OS กำลังทำงานได้
McAfee ใช้เทคโนโลยีการป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง (Advanced Threat Defense) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันมัลแวร์ โดยอาศัยการป้องกันตามลายเซ็นและการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อมองหาภัยคุกคาม เทคโนโลยีของ Bitdefender เองก็คล้ายกัน แต่มักจะมีผลบวกผิดพลาดบ่อยครั้งมากกว่า McAfee (ไฟล์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถูกทำเครื่องหมายว่าไม่ปลอดภัยโดยไม่ถูกต้อง) ดังนั้นแม้ว่าทั้งสองแอปจะเสนอการป้องกันมัลแวร์ที่น่าเชื่อถือ แต่การสแกนของ McAfee มีประสิทธิภาพมากกว่าในการทดสอบของเรา.
ผู้ชนะด้านสแกนเนอร์ไวรัส: McAfee
2. การป้องกันตามเวลาจริง — McAfee ป้องกันการโจมตีมัลแวร์ใหม่ ๆ ได้ถึง 100%
ในการทดสอบของฉัน McAfee ป้องกันอุปกรณ์ของฉันจากภัยคุกคามตามเวลาจริงทั้งหมดได้สำเร็จ แม้ว่า Bitdefender จะมีอัตราการตรวจจับที่เกือบสมบูรณ์แบบ แต่ฉันชอบการป้องกันที่ McAfee มีให้บริการมากกว่า
เพื่อบรรลุคะแนนที่สมบูรณ์แบบ McAfee ใช้เทคโนโลยี Global Threat Intelligence ซอฟต์แวร์บนคลาวด์นี้จะวิเคราะห์พฤติกรรมของมัลแวร์เพื่อคาดการณ์อย่างแม่นยำว่าภัยคุกคามจะมีพฤติกรรมอย่างไร ตอนที่มันตรวจจับพบพฤติกรรมที่น่าสงสัยในรายการที่ไม่รู้จัก McAfee จะปิดกั้นมันก่อนที่มันจะทำให้อุปกรณ์ของคุณติดมัลแวร์ เนื่องจากธรรมชาติบนคลาวด์ของเทคโนโลยีนี้ McAfee จึงได้รับการอัปเดตเพื่อป้องกันคุณจากภัยคุกคามล่าสุดอย่างต่อเนื่อง
Bitdefender ใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกันเพื่อป้องกันอุปกรณ์ของคุณจากการโจมตีมัลแวร์ตามเวลาจริงอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคนิคที่เรียกว่า “การตรวจจับพฤติกรรม (Behavioral Detection)” มันจะช่วยตรวจสอบแอป ซอฟต์แวร์และการเชื่อมต่อเครือข่าย (ซึ่งรวมถึงไฟล์ที่ดาวน์โหลด) อย่างใกล้ชิดเพื่อมองหาพฤติกรรมที่น่าสงสัยใด ๆ หากมีการตรวจพบอะไรบางอย่าง รายการดังกล่าวจะถูกกักกันทันทีเพื่อที่คุณจะได้เป็นผู้ตรวจสอบดูอีกครั้งว่ามันปลอดภัยหรือเป็นอันตรายกันแน่
โดยรวมแล้วไม่มีความแตกต่างที่สำคัญอะไรระหว่างแพ็กเกจแอนตี้ไวรัสทั้งสองแพ็กเกจ — ทั้ง McAfee และ Bitdefender ต่างก็มีความสามารถในการป้องกันคุณจากการโจมตีมัลแวร์ซีโร่เดย์ อย่างไรก็ตามในการทดสอบของฉัน McAfee ทำงานได้ดีกว่า Bitdefender เล็กน้อยและทำคะแนนได้สมบูรณ์แบบ
ผู้ชนะด้านการป้องกันมัลแวร์ตามเวลาจริง: McAfee
3. ประสิทธิภาพระบบ — McAfee ทำงานได้โดยแทบไม่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ของคุณเลย
การวัดว่าแอนตี้ไวรัสนั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพจ่อระบบมากแค่ไหนนั้นอาจเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแพ็กเกจที่ส่งผลกระทบต่ำอย่าง McAfee และ Bitdefender หลังจากที่ตรวจสอบอย่างรอบคอบ McAfee ก็เอาชนะ Bitdefender ได้
เมื่อเปิดใช้งาน McAfee เอาไว้ในพื้นหลัง ระบบของฉันก็ทำงานช้าลงเพียงเล็กน้อย ฉันสามารถทำงาน ตรวจสอบอีเมลของฉัน สตรีมวิดีโอในคุณภาพระดับ HD และติดตั้งซอฟต์แวร์ได้โดยไม่มีการกระตุกหรือการแทรกแซงใด ๆ ราวกับว่า McAfee ไม่ได้กำลังวุ่นวายกับการป้องกันอุปกรณ์ของฉันเลย! ฉันพบว่ามันน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ McAfee มีผลลัพธ์ที่ดีกว่าผู้นำในอุตสาหกรรมรายอื่น ๆ ในการทดสอบเดียวกัน
Bitdefender ส่งผลกระทบเล็กน้อยและมีแนวโน้มเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่ามันกำลังป้องกันคุณจากภัยคุกคามทางออนไลน์ อย่างไรก็ตามมันทำให้อุปกรณ์ของคุณทำงานช้าลง ในระหว่างการทดสอบของฉัน หน้าเว็บเปิดช้ากว่าปกติ 17% และการติดตั้งก็ทำให้ระบบทำงานช้าลงสูงสุดถึง 28% นี่หมายความว่าฉันต้องรอนานขึ้นสองสามวินาทีเพื่อโหลดเว็บไซต์และหลายนาทีสำหรับการรอการติดตั้งให้ดำเนินการเสร็จ ด้วย McAfee ระยะเวลารอนี้แทบไม่เปลี่ยนไปเลยซึ่งทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับประสิทธิภาพระบบโดยรวม
ผู้ชนะด้านประสิทธิภาพระบบ: McAfee
4. VPN — Bitdefender Has มีความเร็วในการดาวน์โหลดที่รวดเร็วและและปลดบล็อกบริการสตรีมมิ่งได้
เพื่อรับสิทธิ์ในการเข้าถึง VPN McAfee จำเป็นต้องให้คุณลงทะเบียนเพื่อต่ออายุอัตโนมัติและ Bitdefender ก็มี VPN มาให้เฉพาะในแผนให้บริการ Premium เท่านั้น ระหว่าง 2 VPN นี้ ฉันชอบ Bitdefender มากกว่า ไม่เพียงแต่ VPN ของ Bitdefender จะดูแลให้กิจกรรมทางออนไลน์ของคุณปลอดภัยเท่านั้น แต่คุณยังสามารถรับชม Netflix และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่น ๆ ได้อีกด้วย
น่าเสียดาย VPN ของ McAfee ไม่สามารถเข้าถึง Netflix ได้เลย McAfee ยังมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์น้อยกว่าด้วย (มีเพียง 23 ตำแหน่งเมื่อเทียบกับตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ของ Bitdefender ที่มี 27 ตำแหน่ง) และความเร็วที่ช้ากว่า ตอนที่ฉันทดสอบความเร็ว VPN ของ Bitdefender รวดเร็วมากพอที่จะสตรีมรายการต่าง ๆ ได้โดยการมีกระตุกเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ฉันประทับใจกับความเร็วในการดาวน์โหลดของ Bitdefender
ในแง่ของความปลอดภัย VPN ทั้งสองโปรแกรมมีระดับการเข้ารหัสสูงที่ซ่อนกิจกรรมทางออนไลน์ของคุณและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลของคุณ ฉันรู้สึกปลอดภัยเมื่อเข้าถึงแอปธนาคารออนไลน์ของฉันเช่นเดียวกันกับการช้อปปิ้งออนไลน์โดยที่ไม่มีใคร (แม้กระทั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของฉัน) สามารถดูได้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่
ผู้ชนะด้าน VPN: Bitdefender
5. แผงควบคุมสำหรับผู้ปกครอง — McAfee มอบแผงควบคุมสำหรับอุปกรณ์ของเด็ก ๆ ที่ครอบคลุมมากกว่า
McAfee และ Bitdefender ทั้งสองต่างก็มีแผงควบคุมสำหรับผู้ปกครองในแผนให้บริการแอนตี้ไวรัส แต่ McAfee เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเนื่องจากตัวเลือกขั้นสูงและการตั้งค่าที่ง่ายดาย
ใช้เวลาน้อยกว่า 3 นาทีในการดาวน์โหลดและติดตั้งฟีเจอร์ Safe Family ของ McAfee และฉันชอบที่ฉันสามารถดูแผงควบคุมทั้งหมดจากแดชบอร์ดหลักได้อย่างง่ายดาย จากตรงนั้นคุณสามารถติดตามตำแหน่งของลูกคุณ ระยะเวลาปิดใช้งานจากหน้าจอและตัวกรองเนื้อหาเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายหรือไม่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ

การตั้งค่า Safe Family ของ McAfee บนอุปกรณ์ของลูกฉันนั้นง่ายมาก
ฉันยังชอบที่ Safe Family แจ้งเตือนฉันหากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นในแอปบนอุปกรณ์ของลูกฉันหรือหากมีการละเมิดกฎ เด็ก ๆ มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีกันมากขึ้นในทุกวันนี้ ดังนั้นฉันจึงโล่งใจที่ได้รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าของ McAfee ได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว
Bitdefender มีฟีเจอร์รั้วกั้นตามภูมิศาสตร์และตัวกรองเว็บไซต์ที่แข็งแกร่ง แต่แอปนั้นตั้งค่ายาก ฉันใช้เวลามากกว่า 10 นาทีในการดาวน์โหลดและตั้งค่าแอปบน iPad ของลูกฉันเพราะการตั้งค่านั้นใช้ง่ายยากมาก
Safe Family ของ McAfee พร้อมให้บริการบน Windows, Mac, Android และ iOS โดยมีฟีเจอร์ที่คล้ายกันในทุกแอป Parental Advisor ของ Bitdefender นั้นรองรับระบบปฏิบัติการเดียวกัน แต่ใน iOS มีฟังก์ชันน้อยกว่า เพื่อความง่ายในการใช้งานและระดับของความครอบคลุม ฉันขอแนะนำให้ใช้ตัวเลือก Safe Family ของ McAfee
ผู้ชนะด้านแผงควบคุมสำหรับผู้ปกครอง: McAfee
ปกป้องอุปกรณ์ของคุณด้วย McAfee
6. ไฟร์วอลล์ — ไฟร์วอลล์ของ McAfee มีให้บริการในทุกแผนสมาชิก
ทั้ง Bitdefender และ McAfee ต่างก็มีไฟร์วอลล์ที่ไว้วางใจได้ แต่ไฟร์วอลล์ของ McAfee พร้อมให้บริการในทุกแผนสมาชิก ในขณะที่ Bitdefender ไม่มีไฟร์วอลล์ให้บริการในแพ็กเกจ Antivirus Plus พื้นฐาน การมีไฟร์วอลล์ที่แข็งแกร่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความปลอดภัย แม้แต่ไฟร์วอลล์ที่มีมาให้ของ Microsoft Defender เองก็มีข้อจำกัด
แทนที่จะเป็นตัวเลือกแยกต่างหาก ไฟร์วอลล์ของ McAfee ทำงานร่วมกันกับไฟร์วอลล์ที่มีมาให้ของ Windows ได้ บริการนี้จะปิดกั้นการเชื่อมต่อขาออกที่น่าสงสัย ในขณะที่ไฟร์วอลล์ของ Windows จะหน้าที่ในการปิดกั้นการเชื่อมต่อขาเข้าที่น่าสงสัย การผสมผสานนี้จะช่วยรักษาการป้องกันที่เชื่อถือได้จากการบุกรุกเครือข่าย

ในทางกลับกัน ไฟร์วอลล์แยกต่างหากของ Bitdefender ก็มีตัวเลือกในการปรับแต่งมากมาย ซึ่งให้คุณปรับแต่งได้ตามความชื่นชอบของตัวคุณเอง อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่สะดวกใจกับการปรับแต่งด้วยตัวเอง การตั้งค่าเริ่มต้นก็เพียงพอในการรักษาการป้องกันการรุกรานส่วนใหญ่ได้อย่างน่าเชื่อถือแล้ว

แม้ว่าทั้งสองแอปจะเสนอไฟร์วอลล์ที่ดี แต่ McAfee ก็ชนะในหมวดหมู่นี้เพราะไฟร์วอลล์มีให้บริการในทุกแผนสมาชิก ในขณะที่แผนสมาชิกที่มีราคาถูกที่สุดของ Bitdefender จะไม่มีฟีเจอร์นี้ให้ใช้งาน
ผู้ชนะด้านไฟร์วอลล์: McAfee
7. ผู้จัดการรหัสผ่าน — Bitdefender มีพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านไม่จำกัด
แม้ว่า True Key ของ McAfee จะเป็นฟีเจอร์ที่ดี แต่ผู้จัดการรหัสผ่านของ Bitdefender เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ดีที่สุดที่ฉันเคยทดสอบจากแพ็กเกจแอนตี้ไวรัส ฉันประทับใจที่ Bitdefender มอบพื้นที่ในการจัดเก็บรหัสผ่านไม่จำกัด — McAfee จำกัดรหัสผ่านกับคุณ 15 รหัสผ่านซึ่งไม่เพียงพอพอสำหรับการจัดเก็บบัญชีทั้งหมดของฉัน

ฉันพบว่า Bitdefender ใช้งานง่ายและเพิ่มรายละเอียดบัญชีออนไลน์ของฉันได้อย่างรวดเร็ว
การถ่ายโอนรหัสผ่านของฉันจากผู้จัดการรหัสผ่านที่มีอยู่มายัง Bitdefender นั้นง่ายมาก ๆ ฉันยังพบด้วยว่าฉันไม่พบกับการล่าช้าใด ๆ เลยตอนที่ Bitdefender ดำเนินการกรอกข้อมูลลงชื่อเข้าใช้โดยอัตโนมัติให้กับฉัน ผู้จัดการรหัสผ่านมากมายใช้เวลาสักพักในการกรอกรายละเอียดให้โดยอัตโนมัติ แต่ Bitdefender กรอกข้อมูลของฉันภายในเสี้ยววินาที
ทั้ง Bitdefender และ McAfee ต่างก็มีพื้นจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่างหมายเลขบัตรเครดิต ข้อมูลบัตรประกันสังคมและข้อมูลความลับไม่จำกัด ข้อมูลทั้งหมดที่คุณกรอกลงในผู้จัดการรหัสผ่านทั้งสองโปรแกรมนี้จะได้รับการเข้ารหัสอย่างเข้มงวดโดยใช้มาตรฐาน AES-256-บิตเดียวเดียวกันกับที่ทหารและหน่วยงานรัฐบาลใช้
หากคุณมีรหัสผ่านไม่เยอะ True Key ของ McAfee ก็เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่มักมีรหัสผ่านมากกว่า 15 รหัสผ่าน ดังนั้นผู้จัดการรหัสผ่านของ Bitdefender จึงเป็นตัวเลือกโดยรวมที่ดีกว่า
ผู้ชนะด้านผู้จัดการรหัสผ่าน: Bitdefender
8. การเล่นเกม — Bitdefender เพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมด้วย Game Mode ภายในตัว
ฉันประหลาดใจที่ Bitdefender สามารถเอาชนะ McAfee ในหมวดหมู่นี้ได้เนื่องจาก McAfee เองมีแพ็กเกจแอนตี้ไวรัส Gamer Security ที่เฉพาะเจาะจง น่าเสียดายเพื่อทำให้ผลกระทบต่ำ McAfee จึงลดความปลอดภัยที่สำคัญบางอย่าง — หมายความว่า Bitdefender เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับแอนตี้ไวรัสที่เหมาะสำหรับการเล่นเกม
Bitdefender มี Game Mode ที่เฉพาะเจาะจงที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มยกระดับประสิทธิภาพของระบบของคุณเมื่อคุณเล่นเกม มันจะเปลี่ยนพลังงาน CPU จากการทำงานในพื้นหลังมายังเกมของคุณซึ่งทำให้ตัวเกมทำงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ที่ดีที่สุดคือ Game Mode จะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อมันตรวจพบว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งตั้งค่าด้วยตัวเอง Bitdefender ยังมี Autopilot Mode ที่เรียนรู้ว่าคุณใช้งานอุปกรณ์ของคุณอย่างไรและแนะนำการปรับแต่งให้ หากคุณเล่นเกมเป็นประจำ คุณจะพบว่า Bitdefender ปรับแต่งการตั้งค่าเพื่อการเล่นเกมที่ยอดเยี่ยมโดยอัตโนมัติ
แผนให้บริการแอนตี้ไวรัสของ McAfee ไม่มี Game Mode เฉพาะเจาะจงมาให้ ยกเว้นแต่คุณจะสั่งซื้อแพ็กเกจ Gamer Security อย่างไรก็ตาม ฉันพบว่า Gamer Security ของ McAfee นั้นไม่มีประสิทธิภาพเมื่อพูดถึงการปิดกั้นเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและการสแกมฟิชชิ่ง แม้ว่ามันจะทำงานได้ดีสำหรับการเล่นเกม แต่คุณจะต้องสูญเสียความปลอดภัยโดยรวมไปบางส่วน การเลือก Bitdefender ที่ครอบคลุมนั้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า แม้ว่าแอนตี้ไวรัสจะไม่ได้ถูกปรับแต่งมาเพื่อเกมเมอร์เป็นพิเศษก็ตาม
ผู้ชนะด้านโหมดสำหรับเล่นเกม: Bitdefender
9. เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ — McAfee ช่วยยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้อย่างมาก
McAfee เป็นตัวเลือกที่ดกว่าในหมวดหมู่นี้เนื่องจากมีเครื่องมือมากมายที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ของคุณ Bitdefender มีฟีเจอร์บางอย่างที่ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพโดยรวม แต่ฉันพบว่ามันไม่มีผลเท่ากับส่วนเสริมของ McAfee
McAfee มีเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ดี 3 เครื่องมือ ได้แก่ QuickClean, App Boost และ Web Boost เครื่องมือ QuickClean ช่วยลบคุกกี้ที่ไม่จำเป็น ไฟล์ขยะและประวัติการค้นหาเพื่อล้างพื้นที่บนอุปกรณ์ของคุณ ในการทดสอบของฉัน มันใช้เวลาน้อยกว่า 20 วินาทีในการทำงานและมันตรวจพบรายการไม่สำคัญมากกว่า 4,000 รายการที่สามารถลบออกได้อย่างปลอดภัย สิ่งนี้ช่วยล้างพื้นที่บนแล็ปท็อปของฉันเกือบ 400MB

คุณสามารถกำหนดค่าที่พื้นที่ของอุปกรณ์คุณต้องการให้ QuickClean สแกนได้
ฟีเจอร์ App และ Web Boost ทำงานคล้ายกันคือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในขณะที่คุณกำลังใช้อุปกรณ์ของคุณ App Boost จะระบุว่าแอปใดที่เปิดอยู่และเปลี่ยนพลังงาน CPU มายังแอปเหล่านั้นเพื่อให้มีความรวดเร็วสูงและยกระดับประสิทธิภาพของแอป มันยังเรียนรู้ด้วยว่าคุณใช้แอปไหนบ่อยมากที่สุดเพื่อช่วยให้คุณเปิดและโหลดได้เร็วมากขึ้น Web Boost ช่วยยกระดับการท่องเว็บของฉันอย่างเห็นได้ชัดโดยการหยุดวิดีโอและโฆษณาที่เล่นเองโดยอัตโนมัติซึ่งช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ของฉันได้อย่างมาก น่าเสียดายที่ฟีเจอร์นี้พร้อมให้บริการในรูปแบบส่วนขยายของ Chrome สำหรับ Windows เท่านั้น
เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพของ Bitdefender ทำงานเบื้องหลังเพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพ มันมี Battery Mode ที่ช่วยประหยัดแบตเตอรี่สำหรับแล็ปท็อปและเท็บเล็ตและ OneClick Optimizer ก็ช่วยยกระดับประสิทธิภาพและความเร็วด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตามในระหว่างการทดสอบ ฉันไม่สังเกตเห็นเลยว่า Bitdefender ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ของฉัน McAfee เป็นแอนตี้ไวรัสที่ดีกว่าสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ
ผู้ชนะด้านเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ: McAfee
10. ฟีเจอร์อื่น ๆ — เครื่องมือที่มีประโยชน์มากมายทั้งบน McAfee และ Bitdefender
หมวดหมู่นี้เสมอกันเพราะทั้ง McAfee และ Bitdefender ต่างก็มีฟีเจอร์ที่ทำงานได้ดีในการช่วยยกระดับความปลอดภัยของคุณ Bitdefender มีฟีเจอร์เสริมมากกว่าในขณะที่สิ่งที่ McAfee มีให้บริการนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
ฉันรวบรวมฟีเจอร์ที่ทั้งสองแอนตี้ไวรัสมีให้บริการเอาไว้ให้แล้วในตารางนี้
McAfee | Bitdefender | |
ส่วนขยายเบราว์เซอร์ | ✔ | ✔ |
การป้องกันแรนซัมแวร์ | ✔ | ✔ |
การตรวจสอบเครือข่าย | ✔ | ✔ |
การตรวจสอบอีเมลเพื่อป้องกันสแปม | ✘ | ✔ |
การป้องกันเว็บแคมและไมโครโฟน | ✘ | ✔ |
เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวร | ✔ | ✔ |
การป้องกันโจรขโมยตัวตน | ✔ | ✘ |
พื้นที่จัดเก็บเข้ารหัส | ✔ | ✘ |
การธนาคารที่ปลอดภัย | ✘ | ✔ |
ฟีเจอร์บางอย่างก็มีขีดจำกัด — ส่วนขยายเบราว์เซอร์ WebAdvisor ของ McAfee มีให้บริการเฉพาะบน Windows เท่านั้นในขณะที่ Anti-Spam ของ Bitdefender ทำงานได้เฉพาะในแพลตฟอร์มอีเมลสองสามแพลตฟอร์ม
ทั้งสองแอนตี้ไวรัสมีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ฉันประทับใจเป็นพิเศษกับฟีเจอร์ Ransom Guard ของ McAfee ที่ป้องกันการโจมตีแรนซัมแวร์ มันตรวจสอบและปิดกั้นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสงสัยใด ๆ ในแอปหรือซอฟต์แวร์ มันยังแจ้งเตือนคุณด้วยเมื่อมีแรนซัมแวร์หรือสปายแวร์ปรากฏ ดังนั้นคุณจึงสามารถดำเนินการเพื่อป้องกันมันได้
ฟีเจอร์ที่น่าประทับใจมากที่สุดของ Bitdefender คือเครื่องมือ SafePay ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการธนาคารออนไลน์และการช้อปปิ้งของคุณ มันจะเปิดสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปใหม่ซึ่งปิดกั้นการถ่ายรูปภาพหน้าจอ คีย์ล็อกและการสกัดกั้นข้อมูลใด ๆ ก็ตาม ฉันขอแนะนำให้ใช้เมื่อใดก็ตามที่คุณเข้าถึงข้อมูลความลับ แถม Bitdefender ยังมีแอปเฉพาะให้บริการในภาษาไทยอีกด้วย
ฉันประทับใจที่ได้เห็นว่าฟีเจอร์ที่ทั้งสองแอนตี้ไวรัสมีให้บริการนั้นมีคุณภาพสูงและเป็นเครื่องมือที่มีแนวโน้มว่าคุณจะใช้ หากคุณต้องการฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันอุปกรณ์ของคุณ McAfee มีตัวเลือกที่ดีกว่า สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ ฟีเจอร์ของ Bitdefender นั้นจะตอบโจทย์มากกว่า
ผู้ใช้ด้านฟีเจอร์อื่น ๆ: เสมอกัน
11. ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ — Bitdefender ใช้งานบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า
McAfee และ Bitdefender มีแอปพร้อมให้บริการสำหรับ Windows, Mac, Android และ iOS ทั้งสองแอนตี้ไวรัสต่างก็โหลดเร็วและติดตั้งง่าย แต่ Bitdefender เป็นผู้ชนะเพราะแอปที่ใช้งานง่ายในทุกอุปกรณ์
ฉันพบว่าแอปของ Bitdefender มีการออกแบบที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ดังนั้นการใช้งานในการตั้งค่า การเปลี่ยนแปลงและเปิดใช้งานการสแกนนั้นจึงเป็นเรื่องง่าย ฉันชอบที่แอปต่าง ๆ นั้นเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นในขณะเดียวกันผู้ใช้ขั้นสูงก็สามารถปรับแต่งการตั้งค่าที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างรวดเร็ว

การตั้งค่าของ Bitdefender มีคำอธิบายที่ชัดเจนซึ่งทำให้การใช้งานเป็นเรื่องง่าย
McAfee เป็นตัวเลือกที่ใช้งานยากกว่านิดหน่อยแม้ว่าจะมีอินเทอร์เฟซที่สดใสและน่าใช้ก็ตาม แอปสำหรับ Windows และ Mac นั้นมีการจัดเรียงที่สับสนซึ่งทำให้การค้นหาการตั้งค่าที่คุณกำลังมองหาอยู่นั้นเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่นฟีเจอร์ QuickClean คือปุ่มที่เขียนว่า “ลบคุกกี้และการติดตาม” ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจสักพักว่าฟีเจอร์และการตั้งค่าใน McAfee ต่าง ๆ นั้นอยู่ที่ไหน
แม้ว่าแอปมือถือของ McAfee นั้นจะใช้งานได้ง่ายกว่ามาก แต่ Bitdefender เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหากคุณกำลังมองหาแอปแอนตี้ไวรัสที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้
ผู้ชนะด้านความเข้ากันได้กับอุปกรณ์: Bitdefender
12. บริการลูกค้า — Bitdefender มีฝ่ายสนับสนุนพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
Bitdefender ชนะในหมวดหมู่นี้โดยมีบริการลูกค้าพร้อมให้บริการผ่านแชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ตั๋วอีเมลและฝ่ายสนับสนุนผ่านทางโทรศัพท์ Bitdefender ยังมีฟอรั่มคอมมูนิตี้ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีหากคำถามของคุณไม่ได้เร่งด่วนนัก น่าเสียดายที่ฉันผิดหวังกับแชทออนไลน์ของ McAfee เพราะมันใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการแก้ไขปัญหาของฉัน
ฉันทดสอบตัวเลือกบริการลูกค้าของ Bitdefender ทั้งหมดและพบว่าแชทออนไลน์เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการขอความช่วยเหลือ ฉันเชื่อมต่อกับตัวแทนภายในเวลาน้อยกว่าหนึ่งนาทีและได้รับการตอบกลับโดยละเอียดเกี่ยวกับคำถามของฉัน ตั๋วอีเมลนั้นทำได้น่าประทับใจเหมือนกัน ฉันได้รับคำตอบภายในหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น! หากคุณติดต่อ Bitdefender ผ่านทางโทรศัพท์ บางทีคุณอาจจะต้องใช้เวลาในการถือสายรอสักพัก แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณมีคำถามที่ซับซ้อน
ฉันพบว่าฝ่ายสนับสนุนทางโทรศัพท์และฟอรั่มคอมมูนิตี้ของ McAfee เป็นวิธีในการค้าหาคำตอบที่ง่าย ฉันชอบที่ฉันไม่ต้องมานั่งถือสายรอเพราะเจ้าหน้าที่ McAfee จะโทรติดต่อกลับฉันเอง ดังนั้นฉันจึงใช้เวลากับเรื่องอื่นได้ — ฉันได้รับการติดต่อกลับใน 10นาที เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนทางโทรศัพท์มีความรู้และให้ความช่วยเหลือดี แต่แชทออนไลน์ของ McAfee นั้นค่อนข้างตรงกันข้ามเลยกัน มันใช้เวลาถึง 40 นาทีในการตอบกลับคำถามที่ค่อนข้างธรรมดาซึ่งฉันต้องอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเหล่าเพราะเจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจว่าฉันกำลังถามอะไร แชทออนไลน์มักเป็นทางเลือกในการขอความช่วยเหลือที่ดีที่สุด แต่บริการของ McAfee นั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าผิดหวังจริง ๆ
ผู้ชนะด้านบริการลูกค้า: Bitdefender
13. ราคา — McAfee Total Protection มอบความคุ้มค่ากับเงินได้ดีกว่า
แม้ว่า Bitdefender เป็นตัวเลือกที่ถูกกว่าโดยรวม แต่ McAfee มีฟีเจอร์พรีเมียมมาให้ในทุกแผนให้บริการ (ยกเว้นฟีเจอร์ Safe Family ซึ่งพร้อมให้บริการเฉพาะในแผนให้บริการ Family เท่านั้น) Bitdefender จำกัดฟีเจอร์บางอย่างเอาไว้สำหรับแผนให้บริการที่มีราคาแพงกว่า นี่หมายความว่า McAfee Total Protection เป็นตัวเลือกที่มอบความคุ้มค่าให้ได้มากกว่าในแผนให้บริการที่ถูกที่สุด
แผนให้บริการที่ถูกที่สุดของ Bitdefender (Free และ Antivirus Plus) ทำงานได้เฉพาะบน Windows เท่านั้น — และไม่มีไฟร์วอลล์ เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์หรือแผงควบคุมสำหรับผู้ปกครองมาให้ด้วย คุณจะไม่ได้รับฟีเจอร์เหล่านี้ ยกเว้นแต่คุณจะอัปเกรดเป็นแพ็กเกจพรีเมียม
ฉันพบว่าราคาที่สูงกว่าของ McAfee นั้นมีความสมเหตุสมผลมากกว่าสำหรับความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ และการครอบคลุม ทั้ง McAfee และ Bitdefender ต่างก็รองรับบัตรเครดิต/เดบิตและ PayPal
ผู้ชนะด้านราคา: McAfee
14. เวอร์ชันฟรี — เฉพาะ Bitdefender เท่านั้นที่มีแผนให้บริการฟรี
Bitdefender เป็นผู้ชนะในหมวดหมู่นี้เพราะ McAfee ไม่มีแผนให้บริการฟรี
ด้วยเวอร์ชันฟรี คุณจะได้รับการตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงและการป้องกันมัลแวร์ตามเวลาจริงของ Bitdefender ฉันยังยินดีที่ได้เห็นว่าคุณยังได้รับการป้องกันเว็บไซต์ซึ่งจะคัดกรองเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ด้วย คุณจะพบว่าแผนให้บริการฟรีของ Bitdefender นั้นส่งผลกระทบต่อเนื่องจากการสแกนบนคลาวด์ หากคุณใช้อุปกรณ์ Windows คุณก็จะได้รับการป้องกันฟิชชิ่งและการฉ้อโกงด้วย
แผนให้บริการฟรีนี้ขาดการป้องกันแรนซัมแวร์ขั้นสูง ดังนั้นคุณจึงไม่ได้รับความปลอดภัยที่ครอบคลุมโดยสมบูรณ์ — แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่แพ็กเกจแอนตี้ไวรัสจะสงวนฟีเจอร์ขั้นสูงเอาไว้สำหรับผู้ใช้พรีเมียม หากคุณกำลังมองหาการป้องกันพื้นฐานบนอุปกรณ์ที่ไม่มีข้อมูลความลับ (เช่น การธนาคารออนไลน์หรือเอกสารสำคัญ) Bitdefender Free เป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่ง
ผู้ชนะด้านเวอร์ชันฟรี: Bitdefender
15. การรับประกันยินดีคืนเงิน — McAfee มอบระยะเวลา 60 วันในการทดสอบบริการและรับเงินคืนเต็มจำนวน
ทั้งสองแอนตี้ไวรัสต่างก็มีการรับประกันยินดีคืนเงิน แต่นโยบายของ McAfee นั้นยาวที่สุดถึง 60 วัน Bitdefender มีเพียงการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วันเท่านั้น
ทั้ง McAfee และ Bitdefender ต่างก็ทำให้การขอเงินคืนเป็นเรื่องง่าย แต่ฉันประทับใจกับระยะเวลาการตอบกลับที่รวดเร็วของ McAfee มากกว่า ฉันขอเงินคืนโดยใช้เว็บไซต์ความช่วยเหลือของ McAfee และเลือก “อื่น ๆ ” เมื่อถูกถามเหตุผล — ฉันไม่ถูกถามให้อธิบายเพิ่มเติมใด ๆ

ฉันไม่ต้องระบุเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงเพื่อร้องขอเงินคืนจาก McAfee
ฉันถูกขอให้กรอกข้อมูลติดต่อบางส่วนและใช้เวลารอให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อกลับฉันน้อยกว่า 10 นาที ฉันไม่ถูกขอให้พิจารณาการยกเลิกอีกครั้ง — เจ้าหน้าที่ของ McAfee ดำเนินการตามคำขอของฉันและฉันก็ได้รับเงินคืนภายใน 7 วันทำการ
ขั้นตอนของ Bitdefender นั้นง่ายกว่า แต่ใช้เวลานานกว่า ฉันต้องส่งอีเมลไปยังฝ่ายสนับสนุนลูกค้าเพื่อถามเกี่ยวกับการขอเงินคืน อย่างไรก็ตามการตอบกลับนั้นใช้เวลานานถึง 5 วันซึ่งถือว่าช้ากว่าที่ฉันคิดเอาไว้ — ฉันขอแนะนำให้ส่งอีเมลขอยกเลิกล่วงหน้าสองสามวันก่อนที่ช่วงระยะเวลาการรับประกันจะสิ้นสุดลง แค่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้เลยกำหนดวันขอเงินคืน ฉันได้รับเงินคืนจาก Bitdefender ในอีก 5 วันต่อมา
ผู้ชนะด้านการรับประกันยินดีคืนเงิน: McAfee
และผู้ชนะก็คือ… McAfee (ด้วยคะแนนต่างกันเล็กน้อย)
อ้างอิงตามการทดสอบโดยละเอียด McAfee เป็นผู้ชนะใน 8 หมวดหมู่ในขณะที่ Bitdefender เป็นผู้ชนะ 6 หมวดหมู่ มีเพียง 1 หมวดหมู่เท่านั้นที่เสมอกัน ด้วยเหตุนี้ McAfee จึงเป็นผู้ชนะโดยมีคะแนนต่างกันเล็กน้อย
- สแกนเนอร์ไวรัส — McAfee
- การป้องกันมัลแวร์ตามเวลาจริง — McAfee
- ประสิทธิภาพระบบ — McAfee
- VPN — Bitdefender
- แผงควบคุมสำหรับผู้ปกครอง — McAfee
- ไฟร์วอลล์ — McAfee
- ผู้จัดการรหัสผ่าน — Bitdefender
- การเล่นเกม — Bitdefender
- เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ — McAfee
- ฟีเจอร์อื่น ๆ — เสมอกัน
- ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ — Bitdefender
- บริการลูกค้า — Bitdefender
- ราคา — McAfee
- เวอร์ชันฟรี — Bitdefender
- การรับประกันยินดีคืนเงิน — McAfee
ทั้ง McAfee และ Bitdefender ต่างก็เป็นแพ็กเกจแอนตี้ไวรัสที่ยอดเยี่ยมที่มอบการป้องกันมัลแวร์ที่ดีที่สุดและช่วยทำให้อุปกรณ์ของคุณปลอดภัย
หากความสำคัญของคุณคือความปลอดภัยของอุปกรณ์ งั้น McAfee ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ด้วยอัตราการตรวจจับมัลแวร์ถึง 100% สำหรับทั้งภัยคุกคามใหม่และภัยคุกคามที่รู้จัก McAfee มอบการป้องกันระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แถมยังส่งผลกระทบต่อระบบของคุณต่ำจนน่าประหลาดใจเมื่อพิจารณาถึงความเข้มข้นและความละเอียดของการสแกน
แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่านิดหน่อย แต่ McAfee ก็มอบความคุ้มค่าได้ดีกว่าเนื่องจากคุณสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ทั้งหมดได้ไม่ว่าคุณจะเลือกแผนให้บริการไหนก็ตาม แถมคุณยังสามารถลองใช้ McAfee ด้วยตัวเองโดยไม่มีความเสี่ยงได้ด้วยการใช้การรับประกันยินดีคืนเงิน หากคุณสมัครแผนให้บริการแบบต่ออายุเองอัตโนมัติ คุณจะได้รับเวลาในการทดสอบบริการและขอเงินคืนถึง 60 วันเต็ม
Bitdefender ปรับแต่งได้มากกว่าซึ่งทำให้มันเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้งานขั้นสูง นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่เหมาะกับมือใหม่ — มันมีอินเทอร์เฟซที่ชัดเจนและฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายที่ทำให้การเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมเป็นเรื่องง่าย หากคุณประสบกับปัญหา Bitdefender มีบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยมที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง คุณไม่ต้องเชื่อคำพูดของฉัน — มอบช่วงเวลาในการทดสอบบริการให้กับคุณ 30 วันด้วยการรับประกันยินดีคืนเงิน ดังนั้นคุณจึงสามารถตรวจสอบให้แน่ใจได้ว่ามันเหมาะกับคุณหรือไม่ หากคุณเกิดเปลี่ยนใจ การขอเงินคืนก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ
ผู้ชนะภาพรวม: McAfee
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: เราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเรากับผู้อ่าน และเรามุ่งมั่นที่จะได้รับความไว้วางใจจากคุณด้วยการทำงานด้วยความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ เว็บของเราอยู่ในกลุ่มเจ้าของเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ชั้นนำในอุตสาหกรรมบางส่วนที่ได้รับการตรวจสอบบนเว็บไซต์นี้: Intego, Cyberghost, ExpressVPN และ Private Internet Access อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบของเรา เนื่องจากเราปฏิบัติตามวิธีการทดสอบที่เข้มงวด
แสดงความคิดเห็น
ยกเลิก